วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่อง "มันๆ" ที่อยากให้ท่านรู้

เรื่อง "มันๆ" ที่อยากให้ท่านรู้


เรื่อง มันๆ ที่อยากให้ท่านรู้


น้ำมันปลาควรเลือกจากปลาธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นอาจมีสารพิษปนเปื้อน

ตอนนี้มีลัทธิสุขภาพมากอยู่ที่ให้ใช้น้ำมันในการรักษา ให้หาประโยชน์ จากน้ำมันซึ่งดูไปก็ชวนให้เห็นขันว่ากงล้อประวัติศาสตร์ย้อนกลับมาที่เดิม อีกแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนเชื่อกันหนักหนาว่า น้ำมันเป็นของไม่ดี เมื่อพูดถึง "มันบำบัด" นี้ ก็ชวนให้นึกไปถึงไอยคุปต์โบราณที่ใช้น้ำมันหอมบำบัดหรือในสมัยหลุยส์ที่ 4 ที่มีทั้งน้ำหอมและน้ำมันหอมใช้อยู่มาก

โดยการใช้น้ำมันมาบำบัดโรค ที่เก่าแก่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือยามที่บรมครู ชีวกโกมารภัจจ์ท่านปรุงโอสถจากเนยใสถวายพระเจ้าจัณฑปัชโชติผู้ดุร้ายจนหาย จากอาการประชวรเรื้อรัง จวบจนมาในยุคนี้ที่กลับมาเห่อน้ำมันรักษาโรคกันอีก ผิดกับในอินเดียที่ใช้มันเนยเหลวอย่าง "ฆี (Ghee)" มาบริโภคและใช้ใส่กองกูณฑ์ถวายเทพเจ้ามานานนม หรืออย่างชาวเอสกิโมที่เจียวเอามันปลาวาฬและแมวน้ำไว้ใช้ทั้งกินและรักษาโรค


ผลงานล้อเลียนรูปสลักชายงามเดวิดในแบบอ้วนจ้ำม่ำ

ส่วนมันอย่างมะพร้าวนั้น คนไทยเรากินแกงกะทิแกงเขียวหวานมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ก็ไม่เห็นป่วยเป็นโรคหัวใจกันมากเหมือนยุคนี้ เราก็เพิ่งมาเห่อน้ำมันมะพร้าวกันไปไม่นาน ทั้งที่ก่อนนั้นถูกจัดอยู่ในน้ำมันฝ่ายผู้ร้ายทุกครั้งไป ทำให้ธุรกิจกลั่นน้ำมันมะพร้าวเย็นเฟื่อง ไม่หยอก กรอกใส่ขวดสวยขายได้หลายอัฐอยู่ ถ้าดูไปของเขาก็ดีจริงอยู่ครับ แต่ไม่ว่าน้ำมันชนิดไหนมันก็มีทั้งส่วนดีและร้ายปนกันอยู่ สำคัญอยู่ที่ต้องดูให้เป็น ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานต่วยตูนจะขอคุยกันต่อไปครับ

เรื่องน้ำมันที่ท่าน อาจไม่รู้

การ จะเลือกกินแต่ พืชเพราะคิดว่าจะทำให้ได้น้ำมันดี หรือกินแต่ สัตว์บางชนิดเพราะหวังจะได้น้ำมันแบบที่มาสกัดเป็นเม็ดบ้างอย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย ที่จริงก็ไม่ได้ ถูกนัก ขอให้ท่องไว้ง่ายๆว่า ตัวเราเองก็ประกอบด้วยน้ำมันดีที่เราชื่นชม และในขณะเดียวกันก็ประกอบด้วยน้ำมันเลวที่เราประณามเช่นกัน ดังนั้นสำหรับเรื่องน้ำมันจึงอยากแบ่งออกง่ายๆตามที่ใจคนส่วนใหญ่คิดคือ

1. น้ำมันพระเอก

2. น้ำมันโจร


พระนางอังเคเซนามุนกำลังชโลมพระวรกายของฟาโรห์ตุตันคามุนด้วยน้ำมันสุคนธ์

โดยน้ำมันพระเอกนี้ก็หาใช่น้ำมันมวยสารพัดประโยชน์ และน้ำมันโจรก็ไม่ใช่น้ำมันจิ้งเหลน หรือน้ำมันพรายที่ใช้ดีดทำเสน่ห์ หากแต่น้ำมันพระเอกคือ น้ำมันที่ไม่อิ่มตัวอยู่ในของดีมีราคาสักนิดนั่นคือ กุ้งหอยปูปลา และเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงโดยธรรมชาติ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีไขมันทั้งดีและเลว ชั่วแต่ว่าใครจะมีดีมาก หรือเลวมากกว่ากัน แต่ปัจจุบันเวลาเรากินน้ำมันกันมักจะเป็นสัดส่วนที่หนักไปทางน้ำมันพืชเสีย มากกว่าน้ำมันดีจากสัตว์เช่น ปลา

โดยถ้าคิดเป็นอัตราส่วนแล้วต่อวัน เราซดน้ำมันพืชเข้าไปถึง 10 เท่าของน้ำมันปลา ผลเป็นอย่างไรน่ะหรือครับ มันก็จะทำให้เกิดอักเสบเจ็บปวดเนื้อตัวง่าย คุณผู้หญิงที่มีประจำเดือนก็ปวดอยู่ไม่รู้หาย หรือถ้าท่านใดปวดข้อเมื่อยหลังอยู่ "ธาตุอักเสบ" จากน้ำมันพืชก็จะทำให้ท่านไม่หายสักที ซึ่งเราจะได้ มาแจงอานิสงส์ของน้ำมันปลากันต่อไปครับ

"น้ำมันปลา" ราชาแห่งมัน

สำหรับ ปลา ถือเป็นแหล่งไขมันชั้นดีมีพระเอกโอเมก้า 3 มากนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของปลาด้วย อันว่ามัจฉาน้อยใหญ่ในสาครก็มีความสามารถต่างกันในการผลิตน้ำมันดี โดยน้ำมันชนิดนี้ที่ว่าดีก็เพราะมันช่วยให้เลือดไม่แข็งตัวเหนียวหนึบดั่ง จาระบี มักจะมีมากในเนื้อปลาเมืองหนาว เช่น แถบญี่ปุ่น หรือสแกนดิเนเวีย เพราะปลาต้องใช้น้ำมันนี้ในการกระจายเลือดไม่ให้แข็งตัว


พระกฤษณะทรงพิสมัยใน "ฆี" หรือเนยเหลว ชาวอินเดียจึงเชื่อว่าพระมหิทธานุภาพและพระปัญญาคุณนั้นมาจากฆี

โดยโอเมก้า 3 นั้น ถ้าท่านดูจากข้างขวดอาหารเสริมจะไม่ให้ข้อมูลตรงๆ แต่เขาจะเขียนเป็น EPA กับ DHA แทน ให้จำง่ายๆว่า โอเมก้า 3 มีลูกอยู่สองคน คนแรกเป็นหญิงนั่นคือ อีพีเอ ส่วนคนสองเป็นผู้ฉิง เพราะมันคือ ดีฮ่ะ (DHA) จะจำได้ง่ายขึ้นครับ

สิทธิการิยะท่านว่า ถ้าจะกินน้ำมันปลาให้ได้ พอดีก็ต้องดูฉลากข้างขวด แล้วบวกเลขดูว่า ค่า EPA+ DHA นั้นได้ 1,500 มิลลิกรัมต่อวันหรือยัง ถ้ายังก็ต้องหามากินสะสมกันให้ครบตามสูตรครับ ที่จริงตัวปลาเองก็ไม่ได้สร้างน้ำมันได้ แต่ขโมยมาจากสัตว์น้ำเล็กๆคือ "แพลงก์ตอน (Plankton)" อีกต่อหนึ่ง เช่นกัน ซึ่งคนไทยเราก็กินแพลงก์ตอนกันเป็นอาหารประจำชาติอยู่แล้วนั่นก็คือ "กะปิ" ไงครับ ที่ประกอบมาจากจุลชีพนับร้อยพันในพระสมุทรมารวมกันเป็นภักษาหารให้เรา นอกจากได้แคลเซียมแล้วยังได้โอเมก้า 3 อีกมหาศาลทีเดียว

แต่สำหรับ ท่านที่ไม่ปรารถนากลิ่นคาวปลา ก็สามารถหาโอเมก้า 3 จากแหล่งธรรมชาติอื่น เช่น น้ำมันเมล็ดป่าน (Flaxseed oil) ซึ่งเริ่มจะนิยมในบ้านเรา หรือจากเนื้อสัตว์ธรรมชาติ เช่น หมู, วัว, ไก่, เป็ด ที่เลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติในฟาร์มเปิดก็จะมีโอเมก้า 3 เยอะเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามื้อนี้ท่านไม่ได้กินปลาทูสัก 2 ตัว ก็ขอให้กินปลากระป๋องแทน หรือจะกินน้ำพริกกะปิให้ได้ไขมันดีจาก "เคย" เข้ามาบำรุงกายก็ดีไม่น้อยครับ

ดีเท่าไรอย่าให้เกิน "4 ช้อน"

แต่ กระนั้นขึ้นชื่อว่าน้ำมันไม่ว่าจะดีสักเพียงใดก็ขอให้อย่ากินมากจนเกินพอดี เพราะจะทำให้กลายไปเป็นสนิมเสียจับอยู่ที่หลอดเลือดได้ เช่น น้ำมันปลา ที่มีดีตรงที่ไม่อิ่มตัวเยอะนั้น ถ้าทานมากไปจะทำให้เราต้องใช้วิตามินสิ้นเปลืองในการให้มันไม่หืนโดยเฉพาะ วิตามินอี

อาหารปกติที่เรากินกันอยู่ทุกวันนั้น เพียงแค่มื้อเดียวเราก็ได้น้ำมันมาอย่างอู้ฟู่แล้ว จึงต้องมีการกำหนดปริมาณน้ำมันที่ควรได้รับต่อวันไว้ให้เป็นมาตรฐานสุขภาพ เดียวกันนั่นคือ ทางสมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐอเมริกา (AHA) ได้แนะไว้ว่า น้ำมันไม่ว่าดีแค่ไหนไม่ควรกินเกินวันละ 4 ช้อนโต๊ะ โดยเฉพาะน้ำมันเลวร้ายที่สุดอย่าง "ทรานสแฟ็ท (Trans fat)" หรือมันล่องหนนั้นไม่ควรให้เกิน 2% ของน้ำมันโดยรวม แปลว่าวันหนึ่งไม่ควรกินคุกกี้เกินครึ่งชิ้นย่อมๆเท่านั้น


การบูชาพระกฤษณะด้วยการใส่ฆีลงในกองกูณฑ์

หากท่านสงสัยว่าถ้าอย่างนี้แปลว่าไขมันยิ่งน้อยยิ่งดีใช่ไหม ก็ขอบอกทันทีเลยครับว่า "ไม่จริง" เพราะไขมันมีประโยชน์มาก อย่างในเลือดเรานี้ถ้าเจาะแล้วมีคอเลสเทอรอลต่ำกว่า 160 มิลลิกรัมต่อเลือดร้อยซีซี จะมีปัญหาเรื่องความหนุ่มสาวได้ครับ เพราะตัวเราใช้มันเหล่านี้เป็นวัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมนเพศ ซึ่งก็คือธาตุหนุ่มสาวตามธรรมชาติ ถ้าปราศจากวัตถุดิบเสียแล้ว เซ็กซ์ของเราก็อาจแห้งแล้งลงไปได้ เรียกว่าเรื่อง "มันๆ" นี้อวยผลให้ตั้งแต่เซ็กซี่ไปจนถึงเซ็กซ์เสื่อมได้เลย

แต่ไม่จำเป็น ต้องไปขวนขวายหาน้ำมันพิสดารมากินให้สิ้นเปลือง เพราะโดยธรรมชาติถ้าเรากิน อาหารหลากหลายอยู่แล้วก็จะได้ไขมันดีมากพอ สำหรับการกินน้ำมันแบบเป็นช้อนนั้น อยากให้ใช้ในยามต้องบำบัด เพราะแม้แต่อินเดียที่เป็นเจ้าตำรับการใช้น้ำมันเนยใสสารพัดประโยชน์ก็ยัง เอามาใช้กินเป็นช้อนแค่ตอนป่วยเท่านั้น หรือแถบเมดิเตอเรเนียนที่ใช้น้ำมันมะกอกตั้งแต่กินยันขัดตัวนั้นก็ไม่เห็นมี ใครเอามานั่งซดเป็นช้อนทุกวัน

น้ำมันหมูก็เป็นของหรูได้

เคล็ด ลับการใช้น้ำมันที่จะทำให้ท่านปลอดภัยแม้ใช้น้ำมันหมู คือ "ใช้สลับกัน" อย่าปักใจใช้ อยู่แต่ชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้น้ำมันที่ว่าดีก็ขอให้เปลี่ยนใช้สลับกับน้ำมันอื่นด้วย อย่างน้ำมันหมูที่ดูถูกกันว่าเป็นผู้ร้ายใจทมิฬเกาะกินหลอดเลือดหัวใจให้มัน จุกอก แต่ถ้าลองดูคนสมัยก่อนว่าเป็นโรคหัวใจเท่าคนยุคน้ำมันพืชหรือไม่ หรือแค่ลองขัดคราบไขมันที่มุ้งลวดครัวก็จะรู้ว่า น้ำมันพืชติดเหนียวเพียงไร ดังนั้น หัวใจอันเป็นที่สุดของการใช้น้ำมันเมื่อสรุปแล้วก็มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น คือ

1. ใช้น้ำมันให้ถูกวิธี อย่างน้ำมันที่หีบเย็นมาก็อย่าเอาไปทอดหรือผัด เช่น น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าว

2. ใช้น้ำมันสลับกัน เช่นมื้อนี้ใช้น้ำมันถั่วเหลือง มื้อหน้าอาจใช้น้ำมันรำข้าว มื้อโน้นใช้ น้ำมันเมล็ดชา แล้วสลับน้ำมันหมูบ้าง

และ ที่สำคัญคืออย่าปักใจเชื่อถือว่าน้ำมันชนิดใดชนิดหนึ่งเลวสุด หรือดีสุด เพราะท้ายสุดแล้วธรรมชาติก็ได้สร้างทั้งดีเลวให้อยู่ด้วยกันเป็นโลกธรรม

เห็น ไหมครับเพียงเรื่อง "มันๆ" ที่ท่านเข้าใจถ่องแท้นอกจากช่วยสุขภาพกายแล้วยังช่วยให้ไม่ต้องเหนื่อยใจ ขึ้นลงตาม "มัน" อยู่ไม่รู้จบด้วยครับ.

ทีมงาน ต่วยตูน


ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ
ไทยรัฐ
วันที่โพส : 2009-10-18 10:37:54


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ