วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ท่องดินแดนประวัติศาสตร์จีน อุทยานสามก๊ก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เรื่องเล่านักศึกษาครั้งนี้ เป็นเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวจาก “ลานมะพร้าวออนไลน์” www.coconews.in.th
เว็บไซต์ ข่าวความเคลื่อนไหวของเหล่าน้องๆนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา ที่จัดทำโดยฝีมือนิสิตด้วยกัน ซึ่งได้พาท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์แดนมังกรในอุทยานสามก๊ก ณ อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี สถานที่ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากรั้วมหาวิทยาลัยของพวกเขาสักเท่าไรนัก

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสว่างจ้าขึ้น เป็นสัญลักษณ์ทำให้เรารู้ได้ว่า เช้าแล้ว ทุกๆวันต้องมีเช้า มีกลางวัน และมียามเย็น เวลาเดินทางไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเราที่ไม่หยุดเดินทางเช่นเดียวกัน และกำลังพาคุณผู้อ่านเดินทางไปพร้อมกับเราในสถานที่ต่างๆทั่วชลบุรี ในหลายอำเภอที่มีความงดงามทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งปลูกสร้างที่ต่างกันไป และตราบเวลายังคงไม่หยุดนิ่งเราก็จะพาคุณเดินทางกันต่อ พร้อมกันหรือยังที่จะไปต่อกับเราซึ่งวันนี้เราจะพาเปลี่ยนบรรยากาศจากการ เที่ยวชมธรรมชาติมาให้คุณได้ใกล้ชิดกับบรรยากาศจีนๆกันที่ อุทยานสามก๊ก อำเภอบางละมุง ชลบุรี

จังหวัดชลบุรีนับเป็นจังหวัดที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวน มาก เมื่อมีวันสำคัญทางประเพณีของจีน เช่น วันสารท ถึงกับมีการปิดโรงเรียนเป็นการภายในเป็นบางแห่งกันเลยทีเดียว และชลบุรีเองก็มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีน จัดแสดงเรื่องราวพงศาวดารจีนผ่านสถาปัตยกรรมหรือภาพจิตรกรรมบนแผ่นกระเบื้อง ให้ได้สัมผัสใกล้ชิดกันที่อุทยานสามก๊ก

อุทยานสามก๊กตั้งอยู่ที่ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งการเดินทางจะใช้ถนนสุขุมวิท เข้าถนนพรประภานิมิตรประมาณ 10 กิโลเมตร ก็ถึงแล้วสังเกตง่ายมากเพราะจะเห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมผสมผสาน ไทย-จีน อุทยานนี้มีพื้นที่ 36 ไร่ ที่นี่เกิดมาจากนายเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน ที่นี่มีการวางรูปแบบตามศาสตร์ฮวงจุ้ยจีน นอกจากนี้ส่วนภายในรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ต้นอโศกอินเดีย ติดภูเขา มีสัญลักษณ์หยิน-หยาง ปรัชญาแห่งความสมดุลของจีนรวมอยู่ด้วย สถาปัตยกรรมที่นี่เป็นแบบผสมไทยและจีน

แม้อุทยานนี้จะเป็นสิ่งปลูกสร้าง แต่ที่นี่ก็นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวทาง ธรรมชาติที่อื่นๆของชลบุรีเลย มีความงดงามทางศิลปะเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ที่นี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว นอกจากถ่ายภาพและซึมซับบรรยากาศจีนๆแล้ว อุทยานสามก๊กมีกิจกรรมให้เราได้ชมอื่นๆอีก มาเริ่มกันที่ แผ่นภาพหินอ่อนที่แสดงเรื่องราวสามก๊กไว้ยาวที่สุดในโลก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆกับความงดงามละเอียดอ่อนช้อยของภาพที่เขียนลงทีละเส้น เมื่อได้เข้ามาส่วนจัดแสดงนี้มีความแปลกมาก คือเมื่อเดินเล่นในสวนค่อนข้างจะร้อนแต่เมื่อเข้ามาภายใต้หลังคานี้กลับเย็น สบายจนน่าประหลาดใจ เราจึงคิดกันเองไปว่าอาจด้วยแผ่นกระเบื้องและหินที่ทำให้บริเวณนี้เย็นสบาย

จากนั้นเราไปชมภาพเขียนสีน้ำมันสามก๊กที่แสดงถึงประวัติของขงเบ้ง เป็นสิ่งที่หาชมได้ยากมากๆ ชมรูปปั้นของพระถังซัมจั๋ง และที่น่าสนุกก็คือที่นี่มีชุดของละครสามก๊กให้เราสามารถใส่และถ่ายภาพกัน ได้ แต่เราไม่ได้ทดลองใส่กันอาจด้วยว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 150 บาทต่อชุด เราเดินเที่ยวชมลูกหินหยิน-หยางและรูปปั้นมังกรพ่นน้ำ และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้สามารถสักการะหอแก้วที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อความเป็นศิริมงคลด้วย

”นางสาวรัตนาภรณ์ อาภาศิริกุล” อายุ 20 ปี นักศึกษาที่เดินทางมาท่องเที่ยว เล่าให้เราฟังว่า เป็น คนเชื้อสายจีนมาเที่ยวกับเพื่อนๆ รู้จักที่นี่ทางเว็บไซต์และเห็นว่าน่าสนใจจึงเดินทางมา เพื่อต้องการสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ด้านในเพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องจาก ใกล้สอบแล้ว และเคยเดินทางมาจังหวัดชลบุรีหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งมาที่อุทยานสามก๊กเป็นครั้งแรก ประทับใจและชอบการจัดสวนของที่นี่ ลักษณะอาคารทำให้รู้สึกเหมือนอยู่เมืองจีน ชอบต้นมะขามที่ตัดแรงตัวเป็นทิวแถวตนถ่ายรูปไว้มากทีเดียว คาดว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในช่วงที่สอบเสร็จแล้ว

ได้ฟังนักท่องเที่ยวคนอื่นเล่าความประทับใจไปแล้ว คราวนี้มาถึงของเราบ้าง จุดที่ประทับใจพวกเรามากๆเห็นจะเป็นชั้นบนสุดที่ได้จัดแสดงหอแก้วไว้ เพราะกว่าเราจะเดินขึ้นบันได้ไปทีละขั้นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดก็เหนื่อยที เดียว อาคารนี้แต่ละชั้นเราจะชมกับภาพเขียนสีน้ำมันไปตลอดทาง สวยงามบอกเรื่องราวสามก๊กไว้อย่างสนุกสนาน ส่วนด้านบนสุดนั้นสามารถชมทิวทัศน์ได้ทั่วบริเวณของที่นี่เห็นการจัดสวนที่ สวยงาม สามารถมองเห็นได้ไกลถึงวัดเขาชีจรรย์เลยทีเดียว มองเห็นไปถึงทะเลพัทยา เห็นหอคอยของพัทยาพาร์ค และบนนี้อากาศเย็นสบาย พวกเราทั้งหกคนยื่นรับอากาศเย็น และพูดคุยกันพักใหญ่เลยทีเดียว เพราะทริปนี้เป็นทริปของการเดินทางที่พวกเราจะไปพร้อมหน้ากันแบบนี้อาจจะมี ไม่บ่อยแล้ว เพราะมีบางคนที่กำลังจะจบการศึกษาและอาจจะหาโอกาสมาเที่ยวกันแบบนี้ได้ยาก เราก็เลยใช้เวลาพูดคุยเก็บความประทับใจกันไว้

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มที่จะคล้อยต่ำลง เรามองดูนาฬิกาก็เป็นเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว จากเสียงลมพัดที่เข้าหูตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงท้องร้องหิวข้าวแทน เราตัดสินใจไปตามคำเรียกร้องของกระเพาะอาหารไปหาอะไรกินกัน

ครั้งนี้เรายังคงติดใจกับ ตลาดน้ำสี่ภาค เนื่องจากไม่ไกลจากอุทยานสามก๊ก ออกจากอุทยานมาถึงทางแยกบ้านทับหวานเลี้ยวซ้ายเลียบทางรถไฟและเล้ยวขวาออก ถนนสุขุมวิทย์ ถึงทางแยกเลี้ยวขวา ตรงไปประมาณ 300 เมตร จากแยกก็เป็นอันว่าถึงตลาดน้ำ เราปักหลักหาของอร่อยๆกินกัน ตลาดน้ำสี่ภาคยามเย็นไม่ร้อนเลยวันนี้นักท่องเที่ยวบางตาแต่ก็มีทัวร์ลงอยู่ บ้าง เราเดินเล่นสักพักและเริ่มที่จะเลือกหาของอร่อยๆกินและก็สะดุดตากับร้านขนม จีน ที่มีน้ำยาหลายแบบให้กินกันกินจนอิ่มแล้วต่อด้วยของหวานเฉาก๋วยเย็นๆนิด หน่อยแล้วก็กลับมหาวิทยาลัย–ทีมข่าวท่องเที่ยว

เผยสูตรเด็ด “ทองม้วนจมูกข้าวสาลี” ขนมไทยสไตล์สุขภาพ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นับเป็นเรื่องน่า ยินดีที่ทุกวันนี้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและอาหารการกินมากขึ้น ในการเลือกรับประทานอาหารแต่ละอย่างสิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กับความอร่อยนั่น คือคุณค่าที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และด้วยตระหนักถึงความสำคัญนี้ ทำให้ นักศึกษาชาวมทร.ธัญบุรีเกิดไอเดียสุดแจ่มคิดค้นทำทองม้วนจมูกข้าวสาลี ขนมพื้นบ้านแบบไทยๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางอาหาร

ซึ่งทีมงานผู้คิดค้นไอเดียจมูกข้าวสาลีสุดกิ๊บเก๋ ประกอบด้วย นางสาวสุภานันท์ คล้ายน้อย นางสาวทิวาวรรณ เดชใด และ นางสาวดวงรัตน์ เศรษฐภักดี สาขาวิชา อาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ทั้งนี้ 3 นักศึกษาเจ้าของตำหรับ บอกว่า เหตุ ที่เลือกข้าวสาลีมาเสริมในขนมทองม้วนเพราะ จมูกข้าวสาลีมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงประสาท ป้องกันโรคมะเร็งเป็นต้น

อีกทั้ง ผศ.อภิญญา พุกสุขสกุล และ อาจารย์อรวรรณ พึ่งคำ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ยังบอกด้วยว่า “ถือได้ว่าเป็นการส่งเสริม และอนุรักษ์ขนมไทยพื้นบ้านให้มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยได้อธิบายถึงส่วนผสมไว้ดังนี้ “แป้งมัน 1 ¾ ถ้วย-แป้งสาลี ¼ ถ้วย-หัวกระทิ 1 ¾ ถ้วย-น้ำตาลปี๊บ ¾ ถ้วย-เกลือ ½ ถ้วย-ไข่แดง 1 ฟอง-จมูกข้าวสาลี ¼ ถ้วย”อาจารย์เผยสูตร

และจากนั้น 3 นักศึกษาก็ช่วยกันเผยกลเม็ดแบบไม่กั๊กต่อว่า“เริ่ม แรกให้ ผสมแป้งมันกับแป้งสาลีให้เข้ากันพักเอาไว้ แล้ว ผสมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เกลือ ลงในหม้อ คนให้น้ำตาลละลาย แล้วตั้งไฟจนกะทิเดือด พักไว้ให้เย็น จากนั้นถึงใส่ไข่แดงลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยๆเทลงในแป้ง(แป้งมัน+แป้งสาลีที่ผสมกันตั้งแต่แรก) คนให้เข้ากัน เติมจมูกข้าวสาลีลงไปผสมให้เข้ากันตักส่วนผสมประมาณ 1 ช้อนชาหยอดลงในเครื่องทำทองม้วนที่ร้อนได้ที่ แล้วปิดฝา รอประมาณ 30 วินาที เปิดฝาออก นำออกมาม้วน”

และขั้นตอนที่เป็นเคล็ดลับสำคัญคือ “การม้วน” ตรงนี้อาจารย์ย้ำเสริมว่า “ต้องม้วนเมื่อทองม้วนสุกออกจากเตาร้อนๆ เพียงเท่านี้ก็จะได้ทองม้วนที่ทั้งหอม หวานอร่อยและยังมีคุณค่าทางโภชนาการไว้รับประทาน”จบสูตรทองม้วนข้าวสาลี

เอาล่ะ !หากใครสนใจข้อมูลที่มากกว่านี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมไปได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 083-4996241,084-7608385 และ087-3403296

จีนเผยโครงการใหม่ “ยูนนาน” ปลายสวรรค์นักท่องเที่ยว


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
หมู่บ้านโบราณแห่งลี่เจียงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สุดในหยุนหนัน (ภาพเอเจนซี)

เอเจนซี-มณฑลหยุ นหนัน หรือที่คนไทยคุ้นหูในชื่อยูนนาน กำลังจะได้รับการพัฒนาให้เป็นปลายทางท่องเที่ยวที่สำคัญ และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นสองเท่าภายในหกปี ตามแผนการพัฒนาและปฏิรูปอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมณฑลยูนนาน ปี พ.ศ. 2551-2558

”เราต้องการสร้างยูนนานเป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ โลก” อี้ว์ ตองเฉิง ผู้อำนวยการสำนักการท่องเที่ยวมณฑลหยุนหนันกล่าว

เขตจงเตี้ยน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน บนความสูง 3,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล รู้จักกันดีในชื่อ “แชงกรี-ลา” ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเขตสวรรค์ หรือ แชงกรี-ลา ที่กล่าวไว้ในหนังสือ “The Lost Horizon ” (ค.ศ. 1933) ของเจมส์ ฮิลตันนักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งบรรยายถึงดินแดนที่มีแต่ความสงบ และเต็มไปด้วยฝูงจามรีแทะเล็มหญ้าอยู่ข้างบ้านของชาวทิเบตผู้สันโดษ (ภาพเอเจนซี)

ปีนี้ คุนหมิง กำลังเป็นเจ้าภาพจัดงาน การท่องเที่ยวนานาชาติ 2009 ซึ่งเริ่มต้นวันศุกร์ (20 พ.ย)

โดยทางการท้องถิ่นได้ชูคำขวัญว่า “พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหยุนหนันใหม่”

”สโลแกนนี้ มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของหยุนหนันได้หยุดนิ่งมานาน และขาดการจัดตั้งระบบการท่องเที่ยวขั้นพื้นฐาน” อี้ว์ กล่าวเสริมว่า จะต้องฟื้นแข่งขันและพัฒนาการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ แก่หยุนหนัน

ปี 2551 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 100 ล้านคน เดินทางมายังหยุนหนัน โดยเป็นชาวต่างชาติ 2.5 ล้านคน

ในปี พ.ศ.2558 หยุนหนันตั้วงเป้าขยายกลุ่มนักท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 200 ล้าน และจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.5 ล้านคน

หยุ นหนันมีรายได้จากการท่องเที่ยวปีที่แล้ว รวมเป็น 6.6 หมื่นล้านหยวน ( 9,7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ) ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่อคน อยู่ที่ราว 600 หยวน

แม่น้ำหลีเจียง เมืองหยังซั่ว ทิวทัศน์สวยงามด้วยขุนเขาใหญ่น้อยและมีรูปร่างแปลกตานับพันๆ ยอด เรียงรายอยู่ตามฝั่งแม่น้ำ (ภาพเอเจนซี)

หยุนหนัน อยู่ทางใต้สุดของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีทัศนียภาพงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ และยังมั่งคั่งด้วยวัฒนธรรมหลากชนเผ่า

อี้ว์กล่าวว่าต้องมุ่งขยายด้านผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวพักผ่อนวันหยุด มากกว่ากิจกรรมท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม

”เราจะพัฒนาการท่องเที่ยวแบบหมู่คณะฯ มากขึ้น การจัดประชุม ทัวร์กีฬา การผจญภัยสำรวจ และทัวร์วิทยาศาสตร์” เขากล่าว และเสริมว่า “เมื่อเศรษฐกิจพัฒนา ประชาชนก็เริ่มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น”

นี่จะเป็น “ปีแห่งการทำตลาดออนไลน์ของการท่องเที่ยวหยุนหนัน”

สำนักการท่องเที่ยวประจำมณฑลหยุนหนันเปิดเว็บไซต์ เพื่อให้คนสามารคลิกตามจุดหมายปลายทางต่างๆ และชมวิดีโอ ตลอดจนยังร่วมมือกับเว็บไซต์ยอดนิยมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

ทะเลสาปลู่กูเป็นทะเลสาปในเทือกเขาสูง บนรอยต่อระหว่างมณฑลเสฉวนกับมณฑลยูนนาน ซึ่งมีความสูงอย่างน้อย 2,685 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีเนื้อที่กว่า 48.5 ตารางกิโลเมตร (ภาพเอเจนซี)

หยุนหนันซึ่ง มีชนชาติต่างๆ 25 กลุ่ม จึงได้ชื่อเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ที่สุดแห่งหนึ่ง

”การใช้วัฒนธรรมชาติพันธุ์อันอุดม จะช่วยให้เราพัฒนาสิ่งที่น่าสนใจพิเศษบางอย่างขึ้นมา และยกระดับการท่องเที่ยวโดยรวมของมณฑล” อี้ว์ กล่าว

การแสดงวัฒนธรรมพื้นเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่นการแสดงเพลงและเต้นรำของชนเผ่าส่วนน้อยอันเลื่องลือ การบรรเลงเพลงโบราณของชนเผ่าน่าซี ในลี่เจียง เมืองหมู่บ้านโบราณ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

นอกจากนี้ ยังมีสร้างสวนสนุกบางแห่งและสร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เกี่ยวกับวัฒนธรรม ของชนเผ่าต่างๆ ตามแผนสรุปการพัฒนาและปฏิรูปอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมณฑลหยุนหนัน ปี พ.ศ. 2551-2558 ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2558 จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยว จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.8 ใน ปี 2550 เป็น ร้อยละ10.8 โดยมีอัตราส่วนการจ้างงานในมณฑลฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10

ความสำคัญของการเป็น “พ่อ”


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เอ่ยถึงความสำคัญ หน้าที่ของคุณแม่มาก็มาก ในโอกาสที่ใกล้วันพ่อ ทีมงานจึงขอนำบทความดี ๆ จากสำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาฝากกันค่ะ ถึงบทบาทและความสำคัญของการเป็นพ่อที่ดี

พ่อ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อมีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของ เด็กเป็นอย่างมาก สำหรับลูกชาย พ่อคือแบบฉบับของการเป็นผู้ชาย เป็นพ่อ เป็นสามี เด็กผู้ชายมักจะเลียนแบบพ่อของตัวเอง ไม่ว่าด้านดีหรือไม่ก็ตาม

ส่วนเด็กผู้หญิง พ่อคือแบบฉบับของผู้ชายทุกคนในโลกนี้ เวลาเธอเติบโตเป็นสาวและเริ่มคบหาเพศตรงข้าม อิทธิพลจากความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพ่อมีบทบาทมากทีเดียว

หลาย คนมองข้ามความสำคัญของพ่อไป แต่ที่จริงแล้ว พ่อให้ความรู้สึกที่สมหวังและพึงใจได้มากมาย พ่อมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กแรกเกิดอย่างที่เรานึกไม่ถึง พ่อควรจะมีบทบาทในการเลี้ยงลูกโดยตรงมากขึ้น โดยไม่ใช่มีหน้าที่เพียง “หาเงิน” มาซื้อนมให้ลูกกินเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้ภาระการเลี้ยงลูกอ่อนเป็นของแม่

การที่พ่อสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวลูกอย่างรักใคร่ทะนุถนอม มักจะช่วยให้ลูกมีความรู้สึกผูกพันกับพ่ออย่างลึกซึ้งเมื่อแกโตขึ้น และไม่ควรมีเหตุผลหรือข้ออ้างใด ๆ ที่พ่อจะเอาใจใส่ และเลี้ยงลูกอย่างที่แม่ทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ พ่อและแม่ต่างก็หาเงินมาเลี้ยงลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็น่าจะช่วยกันเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ดูแลทุกข์สุขให้กับลูกเท่า ๆ กัน

หน้าที่ของพ่อที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

1. ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก ในอดีต ภาระหน้าที่การเลี้ยงดูลูกเป็นความรับผิดชอบของแม่แต่เพียงผู้เดียว แต่ปัจจุบันเมื่อสังคมเปลี่ยนไป แม่มิได้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นหญิงทำงานอีกด้วย พ่อจึงต้องแสดงบทบาทของความเป็นพ่อในการดูแลและพัฒนาลูกไปพร้อม ๆ กับแม่ คุณพ่อยุคใหม่จึงต้องชงนม ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมลูกนอน เล่นกับลูกได้

2. อบรมสั่งสอนลูกโดยความเป็นเพศชาย พ่อโดยทั่วไปคือตัวแทนของอำนาจในบ้าน มีลักษณะเด็ดขาด จึงเป็นบุคคลที่จะสร้างวินัยแก่ลูกได้ดีที่สุด และคอยดูแลให้ลูกปฏิบัติตามกฎอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาจะเป็นคนที่มีวินัย สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี การอบรมสั่งสอนของพ่อที่ดีที่สุดคือพ่อต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เพราะเด็ก ๆ นั้นจะไม่ทำตามที่ผู้ใหญ่พูด แต่จะทำตามตัวอย่างที่เห็นนั่นเอง

3. เป็นหลักประกันความมั่นคงปลอดภัย ด้วยสรีระของพ่อที่แข็งแรง ลูก ๆ จะรู้สึกว่า มีผู้ที่มีความสามารถเก่งกล้าอยู่ในบ้าน ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ทำให้ลูกมีความอบอุ่นมั่นคง

4. เป็นหัวหน้าครอบครัว พ่อมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบเลี้ยงดูภรรยาและลูกให้มีความสุขตามอัตภาพ พ่อจึงต้องขวนขวายทำงานหารายได้ไว้จับจ่ายใช้สอยในครอบครัวและยามฉุกเฉิน

5. เป็นผู้สร้างความเข้มแข็งในจิตใจของลูก หากลูกได้มีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อ ได้รับการกอดสัมผัสจากพ่อตั้งแต่วัยเยาว์ ลูกจะมีความรู้สึกประทับใจในตัวพ่อ และยึดพ่อไว้เป็นแกน แต่ถ้าชีวิตของพ่อขาดแก่นสาร ขาดความเป็นผู้นำ ไม่มั่นคง ครอบครัวก็ระส่ำระสายรวนเร จิตใจของลูกก็ขาดที่ยึดเหนี่ยม จึงอ่อนแอและเปราะบางง่าย

6. เป็นแบบอย่างของความเป็นชายให้ลูกได้ลอกเลียนแบบในช่วงอายุ 3 – 6 ปี ในการเลียนแบบความเป็นชายพัฒนามาจากการที่เด็กชายได้สัมผัสใกล้ชิดกับพ่อ เห็นบทบาทความเป็นชายของพ่อที่ถูกต้อง เด็กชายจะเกิดการอยากเอาอย่างพ่อ มีความประพฤติทางเพศที่เหมาะสม ดังนั้นพ่อจึงต้องให้ความเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งพาของลูกชาย

ถ้า พ่อกับลูกชายห่างเหินกัน ขาดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชอบดุด่าเฆี่ยนตี อีกทั้งไม่เอาใจใ่ส่รับผิดชอบครอบครัว ก็จะทำให้ลูกชายไม่ศรัทธาในตัวพ่อ ไม่อยากเอาอย่างพ่อ เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกเกลียดพ่อ รักแม่เลียนแบบแม่ จึงมีความประพฤติทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมบางอย่างคล้ายผู้หญิง หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ

ในขณะเดียวกัน พ่อก็เป็นผู้สร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้ชายให้กับลูกสาวด้วย โดยพัฒนาจากความสัมพันธ์ที่ดี ความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อ เมื่อโตขึ้น ลูกสาวจะไม่นึกรังเกียจเพศตรงข้ามที่จะมาแต่งงานด้วย แต่ถ้าพ่อห่างเหินลูกสาว และมีลักษณะก้าวร้าวทารุณต่อแม่และลูกสาว เมื่อโตขึ้น ลูกสาวอาจเกลียดผู้ชาย และกลัวการแต่งงานได้





อึ้ง! เด็ก 7 ขวบ ขายภาพวาดได้หลักหมื่นภายใน 14 นาที

อึ้ง! เด็ก 7 ขวบ ขายภาพวาดได้หลักหมื่นภายใน 14 นาที



เจ้าของภาพมหัศจรรย์ "คีรอน วิลเลียมสัน"



หลังจากเป็นที่ฮือฮาและสนใจสำหรับแวดวงศิลปะกันมานานแล้ว ศิลปินรุ่นจิ๋ววัย 7 ขวบ ก็สร้างความอัศจรรย์ได้อีกครั้งเมื่อเขาสามารถขายผลงานศิลปะของเขาเองได้ 17,000 ปอนด์ ภายในระยะเวลาเพียง 14 นาทีเท่านั้น

จากการรายงานข่าวเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาว่ามีศิลปินตัวน้อยวัย 7 ขวบ ชื่อ คีรอน วิลเลียมสันได้ ตวัดพู่กันวาดภาพวิวอย่างงดงาม ซึ่งในครั้งนี้เขาได้วาดภาพวิวอีกครั้งแต่เป็นการบรรยายภาพโดยใช้สีน้ำ สีน้ำมัน และสีชอล์ก ของเมืองนอร์ฟอล์ค จำนวน 16 ชิ้น

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจและซื้อผลงานมหัศจรรย์ของคีรอนนั้น ต่างมาจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งคนที่มาไกลอย่าง ประเทศญี่ปุ่น และแคนาดาก็มี โดยในแต่ละภาพนั้น พวกเขาเต็มใจซื้อในราคาที่สูงกว่า 1,000 ปอนด์เลยทีเดียว




ภาพวิวในเมืองนอร์ฟอล์ค โดยคีรอน




“เอเดรียน ฮิลล์” ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดแสดงภาพของคีรอน ในเมือง ฮอล์ท แกลอรีแสดงภาพและจัดจำหน่าย เผยว่า หลายคนค่อนข้างชื่นชอบคีรอนและผลงานของเขามาก

“ในแวดวงศิลปะ ผมว่า คีรอนเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองมากนะครับ เพราะศิลปินเด็กคนล่าสุดที่เป็นที่รู้จักนั้นคือปิคาสโซ”

ทางด้านพ่อของคีรอน อย่างคีธ วัย 44 ปี เผยว่า มันมหัศจรรย์มากที่มีคนสนใจงานศิลปะของลูกชายได้ขนาดนี้

“ผมคิดว่า งานของลูกของขายได้เพียง 2-3 ชิ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตอบรับนั้นดีเกินคาดจริงๆครับ”





ฝีมือเกินเด็ก




อย่างไรก็ดี การตั้งราคาขายผลงานของศิลปินผู้นี้ ทางครอบครัวไม่ได้เป็นผู้ตั้งราคาเอง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านงานศิลป์เป็นตั้งราคาทั้งหมด ซึ่งในวันที่จัดแสดงภาพและขายผลงาน 16ชิ้นนั้น คีรอนสามารถขายภาพได้ทั้งหมดภายในเวลาเพียง 14 นาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ การตอบรับที่ดีจากผู้ชื่นชอบศิลปะและชื่นชมฝีมือของเด็กน้อยวัย 7 ขวบ ส่งผลให้ทางผู้จัดทำหวังว่า หากคีรอนถ่ายทอดศิลปะผ่านลายเส้นอีก ทางผู้ใหญ่ทุกฝ่ายก็ยินดีที่จะเตรียมสถานที่และจัดเวลาไว้เพื่อมีพื้นที่ใน การจัดแสดงโชว์ด้วย



เรียบเรียงจาก เดลิเมล