วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

ภาพเขียนชิ้นสุดท้าย และจดหมายก่อนตาย ของแวนก๊อก

ภาพเขียนชิ้นสุดท้าย และจดหมายก่อนตาย ของแวนก๊อก

น.ณ.ปากน้ำ
จากหนังสือ 5รอบ ประยูร อุลุชาฎะ
สำนักพิมพ์มติชน
จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสที่อาจารย์ ประยูร อุลุชาฎะ ผู้เขียน อายุครบ60ปี
ลิขสิทธ์หนังสือเล่มนี้
อุทิศให้เป็นกองทุน ศิลป พีระศรี
เพื่อนำเงินช่วยเหลือศิลปินด้านจิตรกรรม
---------------------------
ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือของ มาร์ค รอสกิลล์ เรื่อง "จดหมายของแวนก๊อก"ในหนังสือเล่มนั้นรวบรวมจดหมายทุกฉบับของแวนก๊อก จิตรกรเอกสมัยโพสท์ อิมเพรสชั่นนิสม์
ซึ่งมีไปถึงน้องชายของเขา ตั้งแต่สมัยที่แวนก๊อกยังเป็นเสมียนหนุ่มแห่งร้านจำหน่ายงานศิลปสาขาในลอนดอน จนกลับมาอยู่กับบิดายังฮอลแลนด์แล้วไปเป็นนักสอนศาสนาที่เหมืองแร่แห่งหนึ่งในเบลเยี่ยม ต่อมาก็มาหัดฝึกเขียนภาพที่กรุงเฮก เขาเล่าเรื่องชีวิตไว้อย่างละเอียดลออมาก มีข้อความที่จับใจอยู่หลายตอน เขาพรรณนาถึงตอนที่มีจิตใจโน้มเอียงหันเหมาทางเขียนรูป ในจดหมายเหล่านั้นได้ทราบความจริงว่าธีโอน้องชายของเขาเป็นคนดีและรักพี่ชายของเขามาก เป็นคนมีรสนิยมสูง เขาไดถถกันถึงวรรณคดีสูงๆของ วิคเตอร์ ฮิวโก อิมิลโซร่า และมีใจตรงกันที่ต่างก็หลงใหลในภาพเขียนของ เรมบรังค์ และมิลเล่ท์เป็นชีวิตจิตใจ สำหรับแวนก๊อกนั้นจดหมายแทบทุกฉบับ เขาจะพร่ำเพ้อถึงมิลเล่ท์อยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าจิครกรกลุ่มบาร์บิซงแทบทุกคนจะมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจของแวนก๊อกเป็นอย่างมาก เราได้รับทราบความเป็นจริงว่า นอกจากแวนก๊อกจะเป็นจิตรกรวิเศษที่เข้าถึงแก่นธรรมชาติอย่างแท้จริงแล้ว เขายังเป็นนักอ่านหนังสือตัวยง เขารักและหลงไหลในงานด้านวรรณกรรมและปรัชญาต่างๆ อย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาใจกว้างพอที่จะจับในข้อความหลายตอนในเรื่อง"กระท่อมน้อยของลุงทอม" ของแฮเรียต บิชเชอร์สโตว์ และขณะเดียวกันเขาหันไปถกถึงข้อความอันลึกซึ้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

แม้ว่าแวนก๊อกจะเป็นชาวดัช และสมัยต้นๆนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเขียนภาพในฝรั่งเศสแต่ตอนนั้นก็หลงไหลในจิตรกรฝรั่งเศสหลายคน เช่น เดอลา ครัวช์ ดูเปร์,เชริโค และ ดูเมียร์ เขาชอบใจในวาทะของคูร์เบท์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ''peindre des anges,qui est-ce qui a vu des anges?"(เขียนรูปเทวดาน่ะหรือ!ใครเล่าเคยเห็นบ้าง) เป็นความจริงที่ว่าจิตรกรควรเคารพนับถือความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่ควรจะฟุ้งฝันให้ไกลเกินไปนัก ด้วยเหตุนี้ภาพเขียนของแวนก๊อก จึงดำเนินรอยตามคติของนักเรียลลิสม์ ทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนวิธีการเขียน และเทคนิคการใช้สีนั้น เขาบูชาวิธีการของอิมเพรสชั่นนิสม์
ด้วยการอุปถัมภ์จากบิดาในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และจากธีโอน้องชายได้ช่วยส่งเสียให้เขาเขียนรูปอยู่ได้ตลอดมา-แม้ว่าจะขายรูปไม่ได้เลย,ภาพเขียนของเขาก้าวไปไกลเกินกว่าที่คนในยุคนั้นจะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงประสบความคับแค้นใจจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อเขาตายไปไม่นานเท่าไร จึงเริ่มจะมีคนเข้าใจ และจนเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกว่าเขาเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค
ภาพเขียนของเขาจึงเป็นเรื่องการหลั่งไหลของอารมณ์ ความรักหลงใหลในธรรมชาติอย่างแท้จริง มันคือตัวแทนในความนึกคิดของเขาแท้ๆยิ่งภาพเขียนสมัยหลังๆ ตอนที่เขาไปอยู่ยังจังหวัดอารส์ภาคใต้ของฝรั่งเศส ตอนนั้นโดนมรสุมของชีวิตอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตใจวิปริตไปพักหนึ่ง ถึงแก่ตัดใบหูของตนข้างหนึ่งให้แก่ผู้หญิงหากิน เพียงแต่นางหยอกล้อขอหูของเขาเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นศิลปินและเป็นคนจริงเขาจึงบ้าระห่ำกระทำลงไปโดยไม่คำนึงถึงตนเองแต่ผลที่ได้รับกลับถูกชาวเมืองกล่าวหาว่าเสียจริต เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาด้วยความหวาดระแวงบนห้องแคบๆของบ้านสีเหลือง ตอนนี้ต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ทำให้เขาเขียนภาพพอทเตรทตัวเองไว้หลายรูป ภาพห้องนอน และภาพสติลไลฟ์ด้วย แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เขาถึงแก่คลุ้มคลั่งมองเห็น ไปว่าชาวเมืองพากันรุมวางยาพิษตน ผลที่สุดก็ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลโรคจิต


ระยะนี้น้องชายของเขาแต่งงาน และมีลูกน้อยเกิดตามกันมา เมื่อแวนก๊อกออกจากโรงพยาบาล ก็เข้าปารีส แลได้ไปอยู่นอกชานเมืองปารีสภายใต้ความอุปถัมภ์ของ ด๊อกเตอร์กาเช่ท์ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่เข้าใจและเห็นคุณค่าในงานของเขา ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องยุ่งยากในครอบครัวของธีโอน้องชาย เพราะเกิดการขัดแย้งกับเจ้าของร้านจำหน่ายงานศิลป ซึ่งธีโอทำงานอยู่ และต้องออกจากงานมาเคว้งคว้าง ระยะนี้เป็นระยะที่จิตใจของแวนก๊อกปั่นป่วนว้าวุ่นขนาดหนัก ข้าพเจ้าได้ถอดข้อความจากจดหมายฉบับหลังๆ และจดหมายฉบับสุดท้ายของแวนก๊อก ถ่ายถอดออกมาให้ท่านผู้อ่าน ได้เห็นความรู้สึกนึกคิดของเขาในขณะนั้น ซึ่งเขาจะเป็นผู้บรรยายและบันทึกเหตุการณ์ด้วยตนเอง และขอให้ดูภาพเขียนชิ้นสุดท้ายของเขาประกอบกันไปด้วย จะทำให้ท่านได้ซาบซึ้งในภาพเขียนของเขายิ่งขึ้น
...................................


ธีโอและโจที่รัก
เช้าวันนี้พีได้รับจดหมายจากเธอ พร้อมกับเงินห้าสิบฟรังค์ที่สอดมาด้วย ขอขอบใจเป็นอย่างมาก
วันนี้พี่ได้พบ ดร.กาเช่ท์ อีก นัดกันไว้ว่าจะไปเขียนรูปที่บ้านเขาในวันพฤหัสโดยพี่จะไปแต่เช้า แล้วก็จะเลยอยู่รับประทานอาหารด้วย
หลังจากนั้นก็จะไปดูภาพเขียนของพี่ด้วยกัน รู้สึกว่าเขาเป็นคนค่อนข้างจะอ่านได้ง่ายสักหน่อย ท่าทางไม่ค่อยกระตือรือร้นในอาชีพแพทย์ของเขาเท่าไหร่นัก ผิดกับพี่ที่เอาจริงเอาจังต่อการเขียนรูปอยู่ตลอดเวลา พี่บอกกับเขาว่านิสัยของพี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย อารมณ์ผันผวนได้ง่าย พอดีพอร้ายอาจยุติมิตรภาพที่มีต่อกันเอาดื้อๆ เขาตอบว่าไม่เป็นไร แม้ว่าจะมีภาวะผันผวน หรือพายุร้ายพัดกระพือในจิตใจพี่สักเพียงไร เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับมันเสีย ถ้าหากมันถึงคราวที่อารมณ์ชนิดอย่างว่านี้มันเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นจะต้องฝืนความรู้สึกแสร้งจริงใจต่อเขา ดีละ!
ถ้าเป็นไปได้เช่นนี้เมื่อไรที่พี่ต้องการเขาก็คงจไม่มีอะไรผิดหวัง มันเป็นนิมิตรดีดูท่าทีอะไรต่ออะไรจะแจ่มใสขึ้น คิดว่าต่อไปคงจะดียิ่งไปกว่านี้ พี่ยังคิดเลยเถิดไปอีกว่า ทางภาคใต้นั้นโรคภัยแปลกๆมันชุกชุมมาก พี่เองเคยประสบต่อมันมาแล้วการกลับครั้งนี้คงจะขจัดปัดเป่าเรื่องเหล่านี้ไปได้หมด
พี่ระลึกถึงหลานตัวเล็กๆของพี่อยู่เสมอ พี่อยากให้แกโตวันโตคืนจะได้มาเที่ยวยังเมืองชนบทที่นี่บ้าง แทนที่จะเดินทางไปฮออลแลนด์อันเป็นกิจวัตรประจำปีที่เธอเตยปฎิบัติ จะเ)นการดีที่สุดถ้าเธอและโจจะนำเจ้าหนูน้อยไปพักผ่อนกับพี่บ้าง ถูกละพี่เข้าใจดีว่าคุณแม่คงอยากจะเห็นหลานของแก นี่ละเป็นเหตุผลที่เธอคงหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นอันว่าน้องควรต้องไปฮออลแลนด์แน่ๆ แต่พี่ยังคิดว่าคุณแม่คงห่วงใยต่อสุขภาพของเด็กมากกว่าสิ่งอื่น เพราะยังไงไม่ควรที่จะนำเด็กเล็กๆเดินทางไประยะไกลๆเช้นนั้น ซึ่งไม่ให้ผลดีต่อความปลอดภัยของเด็กเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่ห่างจากปารีสไกลพอสมควร ยังคงสภาพแบบชนบทแท้ๆ นับตั้งแต่สมัยของดูบิกนี่มาจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น มีคฤหาสน์โอ่อ่าอยู่เรียงราย บ้านผู้ดีมีเงินปลูกแบบสมัยใหม่ก็มีแซมสลับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใส อาบด้วยแสงแดด ทั้งผืนดินก็ยังปูลาดไปด้วยพุ่มดอกไม้
มันเป็นเมืองที่ครอบงำไปด้วยความชุ่มฉ่ำของธรรมชาติอย่างแท้จริง มีการเคลื่อนไหว หรือเกิดภาวะสังคมใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยอะไรเพราะส่วนรวมยังคงสภาพแบบธรรมชาติของมันอยู่ ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปรบกวน เมื่อมองไปรอบๆจะเห็นแต่ท้องทุ่งอันเขียวขจี เป็นทัศนียภาพที่น่าชมยิ่งนัก.......
........................

ถัดจากจดหมายฉบับนี้มาอีกหนึ่งเดือน หลังจาก แวนก๊อก ได้เข้าไปปารีส ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของน้องชาย เขาต้องได้รับความสะเทือนใจอย่างมาก เมื่อได้ทราบถึงภาวะคับแค้นบางอย่างเกิดขึ้น แก่ครอบครัวของธีโอน้องชายที่รักของเขา เมื่อเขากลับมายังบ้านพักชนบท จึงได้มีจดหมายไปยังน้องชายและภรรยา ดังนี้
.........................

น้องและน้องสาวที่รัก
จดหมายของโจทำให้พี่รู้สึกคล้ายกับอ่านคำเทศนา มันได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์อันอัดอั้นใจมาตลอดเวลาให้ผ่อนคลายไปได้ พี่เองก็วิตกกังวลและกลัดกลุ้มใจอย่างหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเธอ ถูกละเธอกำลังพยายามแก้ไขกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เมื่อคิดดูว่าอนาคตก็ยังคงเห็นรัวๆอยู่ สิ่งประกันสวัสดิภาพของปากและท้องให้สูญสลายไป มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆมาหักล้างให้เราพยายามสะกดกั้นจิตใจให้พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆเพราะพี่ตระหนักชัดแก่ใจว่า
ทั้งพลังกายและใจที่มีอยู่นั้น มันเริ่มอ่อนเปลี้ยลงไปทุกขณะ
ให้ย้อนกลับมาดูที่นี่ จิตใจพี่ยังคงหม่นหมองหดหู่อย่างบอกไม่ถูก พายุร้ายที่โหมกระพือสาดซัดไปยังตัวเธอนั้นแท้จรืงมันกำลังกระแทกกระทั้นอยู่บนตัวพี่จนตั้งตัวไม่ติดเช่นกัน อะไรที่ได้พยายามกระทำลงไปบ้าง ให้ดูซิ ฉันพยายามจะฝืนทำใจให้ร่าเริงแจ่มใส แต่ไอ้เจ้าชีวิตและความสำนึกเหล่านั้นซิ มันละดมกันถอนรากแก้วสายใยของชีวิต จนทุกย่างก้าวที่ได้ย่างออกไปนั้น รู้สึกว่ามันหลวม คลอนแคลน ขาดความมั่นคง และความแน่ใจอย่างหมดสิ้น
ฉันกลัว.............อาจจะไม่ใช่ที่สุด....................เจ้าสิ่งที่กำลังเผาผลาญเธออยู่นั้นซึ่งเธอพยายามห้ามพี่ไม่ให้ไปใสใจต่อมัน จดหมายของโจบอกว่า น้องเข้าใจในตัวพี่ดี ถึงกระนั้นพี่เองมันยังคงตื้อตัน มึนงงไปหมด ก็เหมือนกับที่เธอเป็นอยู่นั่นแหละ
ลองย้อนดูสภาพของพี่อีกสักครั้งหนึ่งดูบ้าง พี่พยายามหักใจและเริ่มลงมือเขียนรูปแต่ไอ้เจ้าภู่กันเจ้ากรรม มันกลับเลื่อนหลุดไปจากนิ้วมือ มันคงรู้จิตใจพี่ดีว่า ขณะนี้กำลังต้องการที่จะทำอะไร ถึงกระนั้นพี่ก็พยายามเขียนรูปขนาดใหญ่เสร็จไปสามภาพด้วยกัน
รูปหนึ่ง เป็นภาพท้องทุ่งข้าวโพดอันเวิ้งว้าง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปั่นป่วนหนักอึ้ง ซึ่งพี่ไม่อยากจะบรรยายย้ำความรู้สึกที่แสนเศร้า,และอารมณ์เปล่าเปลี่ยวที่ครอบงำจิตใจอยู่ในขณะนี้ พี่หวังว่าน้องคงจะเห็นมันในไม่ช้านี้ ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ พี่จะขนเอาเข้าไปให้ดูที่ปารีสด้วยตนเอง ภาพนี้มันคงจะบอกเล่าความในใจของพี่ให้น้องฟังเอง ส่วนพี่นั้นไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดๆออกมาได้
ภาพต่อมาก็ตือสวนของดูบิคนี่ ซึ่งสถานที่นี้พี่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อย่างเข้ามาใหม่ๆ ว่าจะเขียนมันให้ได้
ด้วยความหวังที่ทุ่มเทอย่างหมดใจ ถึงการตั้งใจเพื่อจะเดินทางมาครั้งนี้คงทำให้เธอเกิดความยุ่งยากใจขึ้นบ้างละกระมัง
หวนมาถึงเจ้าหลานน้อยของพี่ พี่หวังไว้ว่าถ้าแกจะมีโอกาสไดฝึกฝนการเขียนรูปก็จะดีไม่ใช่น้อย เพราะแกคงจะรับถ่ายทอดวิญญาณที่รักทางนี้มาจากเธออย่างเต็มเปี่ยมทีเดียว แต่ช่างเถิดมันเป็นเรื่องที่อาจจะไม่เป็นเรื่อง สำหรับพี่-----อย่างน้อยที่สุดพี่เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองแก่เกินไปที่จะย้อนกลับไปดำเนินชีวิตบางอย่างที่ผิดแผกไปจากปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ ความมุ่งหมายอันนี้เอง ได้ผลักไสให้พี่จมปรักอยู่ ในห้วงความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มันเกินกำลังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่ลดละ------"
............................

จดหมายฉบับสุดท้าย ห่างจากฉบับแรก ประมาณเกือบเดือน จดหมายฉบับนี้ต่อจากฉบับข้างต้น ได้ค้นพบในร่างของแวนก๊อกหลังจากที่เขายิงตัวตายเมื่อวันที่ 27กรกฎาคม ค.ศ.1890 มีข้อความหลายประโยคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของธีโอได้ถูกตัดออกเสีย คงเหลือผลความดังนี้

............................

"น้องรัก"
ขอขอบใจในความกรุณาของเธอที่มีจดหมายมาพร้อมกับสอดเงินมาให้ด้วย 50 ฟรังค์---นับตั้งแต่เจ้าความยุ่งยากต่างๆกำลังเริ่มคลี่คลายดีขึ้น ทำไมพี่จึงจะมาพูดถึงสิ่งที่มีความสำคัญอันกระจิดริดอีกเล่า แต่เอาเถิดพี่จะพูด
ก่อนอื่น เราควรจะหยิบยกปัญหาธุรกิจขึ้นมาพูดกันให้มากสักหน่อย ซึ่งดูจะเป็นหนทางอันยาวเหยียดมันเป็นมรรคาที่เราจะต้องดำเนินไป.........
ความมุ่งหมาย อันแท้จริงของจิตรกรนั้น ก็คือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมเข้าไปข้องแวะกับธุรกิจของการค้า
สิ่งนี้แหละคือความจริง เพราะเราต้องการแต่อย่างเดียวคือ พยายามปลุกปล้ำต่อภาพเขียนของเรา ให้มันพูดได้ เรื่องนี้พี่เองได้เคยกล่าวกับเธอบ่อยๆและได้เคยย้ำมันไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไป เราพยายามรวบรวมสรรพกำลังใจให้มีสมาธิอย่างแน่วแน่ เพื่อบรรดาลให้งานของเราบรรลุผลดีที่สุดที่จะดีได้ สำหรับพี่นั้นขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนี่งว่า แม้ว่าเธอจะเป็นนักจำหน่ายศิลป แต่เธอก็มีอไรบางอย่าง ผิดแผกไปจากพวกนักขายภาพเขียนของโคโร ซึ่งพี่สังเกตเห็นได้ชัดตลอดมา บอกตรงๆว่า พี่คิดฝันไปว่า เธอควรจะกลายเป็นผู้ผลิตภาพเขียนเหล่านั้นเองเสียมากกว่า ซึ่งต่อไปมันควรจะแปรรูปมาเช่นนี้ ลองคิดดูว่ามีอะไรที่จีรังยั่งยืนบ้างแม้แต่กลียุคอันแสนเข็ญ ก็ยังมีวันที่คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติลงได้
มันเป็นความในใจอันแท้จริงของพี่ และเป็นความมุ่งหมายทั้งหมด หรือข้อใหญ่ใจความที่พี่ตั้งใจจะบอกเล่ากับเธอ ดูเอาเถิดต่อความวุ่นวายของสิ่งยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ขายงานศิลปะ กับจิตรกรผู้ตายไปแล้ว หรือแม้แต่จิตรกรผู้มีชีวิตอยู่ก็เถอะ ไม่เป็นสิ่งที่น่าจำเริญใจเลยแม้แต่น้อย
ทีนี้สำหรับงานของพี่เองบ้างล่ะ ขณะที่กำลังพะว้าพะวังหมิ่นเหม่อยู่กับความตายเช่นนี้ พี่ยังอดพะวงคิดถึงมันเสียมิได้แน่ละพี่ยังคงทำงานค้างเติ่งอยู่ ความคิดและอุดมคติทางศิลป ยังไม่เข้าแถวเข้าแนว และยังไม่บรรลุผลดังที่หวังไว้เต็มที่นี่เป็นของแน่นอนที่สุด พี่รู้ดีว่าเธอมิใช่บุคคลประเภทนักจำหน่ายงานศิลป มือดาดๆ เรื่องนี้พี่ทราบแก่ใจดีอยู่แล้ว น้องย่อมมีตาสูงที่จะรู้จักเลือกเฟ้นเก็บสิ่งที่ดีเอาไว้ และควรจะกระทำการใดๆลงไปโดยเห็นแก่เหตุผลของมนุษยธรรมอย่างแท้จริง แต่นั่นแหละ ประโยชน์ของมันคืออะไรเล่า"
.............................

แวนก๊อกได้จบชีวิตของตน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.1890 ภายในอ้อมแขนของน้องชาย ส่วนธีโอเองหลังจากสิ้นชีวิตพี่ชายที่เขารักและบูชาไปไม่นานนัก หลังจากนั้นมาอีก5เดือนเศษเขาก็จบชีวิตของตนเอง ด้วยความระทมทุกข์ตายตามไปด้วย ร่างของทั้งสองฝังอยู่เคียงข้างกัน แม้แต่ความตาย เขาก็ยังไม่ยอมแยกกัน นี่แหละคือความรักอันแท้จริงของพี่และน้อง ซึ่งมีสายใยของรสนิยมทางศิลปะเป็นเครื่องผูกผันซึ่งกันและกันอยู่ตลอดมา
----------------------------





ชีวประวัติ วินเซนต์ แวนโก๊ะ
Vincent Van gogh

....................................

ค.ศ.1353 วินเซนต์ แวนก๊อก เกิดเมื่อวันที่30 มีนาคม ประเทศ ฮออลแลนด์
ค.ศ.1894-68 ศึกษาชั้นต้นในท้องถิ่น
ค.ศ.1869 เริ่มทำงานในห้องภาพกูปีล์ในกรุงเฮก เมื่ออายุ16ปี
ค.ศ.1873-76 เริ่มสนใจเรื่องศาสนา หลังจากลาออกจากงานในห้องภาพได้ไปเป็นครูที่โรงเรียนในแรมสเกท เมืองเล็กๆในอังกฤษ ต่อมาย้ายไปสอนและเทศน์ที่ไอเวิลเวิร์ธ เมืองเล็กๆใกล้กรุงลอนดอน
ค.ศ1877 สอบเข้าคณะเทววิทยาที่มหาลัยอัมสเตอร์ดัม แต่ได้ละทิ้งการศึกษาและจุดมุ่งหมายด้านนี้เสียในเวลาต่อมา
ค.ศ.1878-79 เป็นนักเทศน์ผู้จาริกไปในเขตเหมืองแร่เมืองบอริเนจในเบลเยี่ยมอุทิศตนให้กับชาวเหมืองที่วาสเมอใกล้เมืองมอนส์ โดยพยายามแก้ไขปัญหาความยากแค้นอย่างเต็มทีแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ถึงแม้จะมีศรัทธาในศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่เขารู้สึกเหมือนถูกเรียกร้องให้เป็นศิลปินมากกว่า
ค.ศ.1880-85 ปี1880-81 ได้ไปศึกษากับจิตกรหลายคนในกรุงบรัสเซลส์ ศึกษาในกรุงเฮกในปี1881-83และที่เมืองแอนทะเวิร์ป ระหว่าง ค.ศ.1885-86 พร้อมกับศึกษาและเขียนภาพชีวิตชนบทของชาวเหมืองและชาวไร่ชาวนา ภาพคนกินมันฝรั่งเป็นผลงานที่แสดงอิทธิพลการเขียนแบบเก่าของดัตช์
ค.ศ.1886-87 ย้ายไปอยู่กับธีโอน้องชายที่ปารีส ธีโอทำงานอยู่ในห้องภาพที่นั่น ดังนั้นจึงเป็นผู้กว้างขวางและรู้จักศิลปินในแวดวงหลายคน แวนก๊อกรู้จักกับศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์และสนใจศึกษาเทคนิคภาพเขียนของแปร์ตองกีเป็นแนวทางเขียนภาพของเขา สีที่สดขึ้น การป้ายสีเป็นไปอย่างอิสระและเส้นสายเป็นลูกคลื่นที่ได้แบบอย่างจากภาพเขียนของญีปุ่นในช่วงชีวิตนี้ธีโอคือผู้ช่วยเหลือสำคัญทั้งด้านการเงินและทางอารมณ์ของแวนก๊อก ซึ่งถูกกดดันเนื่องจากผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ
ค.ศ.1888 ป่วยเป็นโรคจิตและทะเลาะกับโกแกงจนถึงกับตัดหูข้างซ้ายของตน ต่อมาได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในเมืองอาร์เลส แชร์ทเรอมีและอูฟร์

ค.ศ.1889-90 ย้ายไปอยู่ที่อาร์เลสเมืองชนบทในฝรั่ง เป็นระยะที่มีการพัฒนาทางศิลปะอย่างสมบูรณ์ แต่ละภาพเต็มไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรงของตัวจิตรกรที่รู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม การปรากฎของสิ่งต่างๆประจำวัน ถูกแปรเป็นแผ่นสีที่สดใสและเส้นสายที่สั่นสะเทือนเป็นลูกคลื่น อันเป็นสัญลักษณ์ของพลังสากลที่ควบคุมสรรพสิ่งในโลกไว้ ผลงานชิ้นเยี่ยมในข่วงนี้คือ ต้นไซเปรสกับหมู่บ้าน บ้านนาหลังใหญ่และดอกทานตะวัน
แวนก๊อกจบชีวิตด้วยการยิงตัวตายในวัยเพียง37ปี



threatening-skies.jpg
Description:
Wheat Field Under Threatening Skies
1890; Oil on canvas, 50.5 x 100.5 cm
Vincent van Gogh Museum, Amsterdam
Filesize: 18.25 KB
Viewed: 8661 Time(s)

threatening-skies.jpg




cypress-star.jpg
Description:
Road with Cypress and Star
1890; Oil on canvas, 92 x 73 cm
Rijksmuseum Kroller-Muller, Otterlo
Filesize: 64.57 KB
Viewed: 8662 Time(s)

cypress-star.jpg




bedroom-arles.jpg
Description:
Van Gogh's Room at Arles
1889
Oil on canvas; 57 x 74 cm
Musee d'Orsay, Paris
Filesize: 25.77 KB
Viewed: 8663 Time(s)

bedroom-arles.jpg




Self-Portrait.jpg
Description:
Self-Portrait with Straw Hat
Paris: Summer, 1887
Oil on canvas on panel
34.9 x 26.7 cm.
The Detroit Institute of Arts
Filesize: 35.3 KB
Viewed: 8665 Time(s)

Self-Portrait.jpg



http://www.spantique.com/article?id=43787&lang=th


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ