วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำรายาอายุวัฒนะ

ตำรายาอายุวัฒนะ



คำว่า อายุวัฒนะ เป็นภาษาไทยที่ใช้เกี่ยวกับยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ขอใช้ชื่อนี้กล่าวถึงตำรายาทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงร่างกาย ซึ่งมีมากมายในตำรายาไทยโบราณ ผู้อ่านสนใจตำรับไหนก็เชิญเอาไปปรุงรับประทานดู ข้าพเจ้ามีหน้าที่เผยแพร่ความรู้ให้ข้อมูลตามโบราณซึ่งท่านใช้สืบ ๆ กันมาว่าได้ผลดี บางตำราก็มีเรื่องเล่าความเป็นมาประกอบไว้ด้วย คนโบราณมีศีลธรรมประจำใจคงไม่โกหกหลอกลวง เพราะโบราณท่านมิได้หวังผลการค้าพาณิชย์อะไรเหมือนในสมัยนี้ ใครมีอะไรดีท่านก็จารึกลงในใบลานบ้าง ในแผ่นทองบ้าง ฝังไว้ในพระธาตุเจดีย์ก็มี ใส่พานไว้บูชาก็มี คนรุ่นหลังบางคนเห็นคุณค่าก็นำออกมาเผยแพร่ บางคนไม่เห็นคุณค่าเอาเผาไปกับผู้ตายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มี เรื่องแบบนี้ก็มีมาก เพราะบางแห่งก็เป็นประเพณีที่สืบต่อมาแต่โบราณ ดุจที่จารึกไว้ในกฎหมายของเมืองพะเยาอันว่าด้วยหลักเจริญเมือง คือหลักการทำความเจริญให้เกิดขึ้นกับบ้านเมือง อันเป็นข้อที่ 7 ความว่า คน 3 จำพวกนี้เขาตายอย่าสืบแทนเขา ลูกหลานเขามีก็ให้สืบแทนต่อ ๆกันไป หากไม่มีลูกหลานก็ให้เอาเผาไฟไหลน้ำเสีย แต่ก็เป็นในพื้นที่นั้น ๆ หรือใกล้เคียงที่ได้รับอิทธิพลมาจากเมืองพะเยาแต่โบราณ ตำราที่สืบทอดกันมาคงได้มาในสมัยหลัง หรือได้มาจากแหล่งอื่น ๆ จึงสามารถสืบทอดมาถึงรุ่นของพวกเราได้ จนนำมาเปิดเผยให้ท่านได้คัดลอกกันต่อไปอีก แต่มันมีที่มาจากหลายตำรา จึงไม่สะดวกที่จะกล่าวถึงที่มา เอาว่าเป็นของเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาเป็นใช้ได้ ผมนิยมยาอายุวัฒนะ เพราะเป็นยารักษาก่อนเป็น คือสร้างร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคได้ดี สามารถรักษาอาการป่วยที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายได้ดี ซึ่งส่วนมากจะเป็นโรคเรื้อรัง เช่นความดันสูง เบาหวาน อัมพฤกต์อัมพาต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคผอมแห้ง อ้วนเกินไป ผอมเกินไป แก่เร็วเกินไป พวกนี้ล้วนเกิดจากร่างกายขาดความสมดุลย์ ธาตุไม่ปกติ ยาอายุวัฒนะนั้นสร้างธาตุให้ปกติ เมื่ออะไร ๆ มันปกติมันก็ดีเหมือนคนหนุ่มที่สมบูรณ์แข็งแรง ความรู้สึกอะไรที่คนหนุ่มเคยมีและหายไปมันก็กลับคืนมา ทีนี้ตำรับยานี้มันมีมากมาย เมื่อท่านอ่านดูแล้วมันก็มีสรรพคุณตรงกัน คือ กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายคล่อง ท้องไม่ผูก ถ้ามีเหตุให้เป็นอย่างนี้มันก็เกิดผลขึ้นมา คือร่างกายอุดมสมบูรณ์แข็งแรงการหมุนเวียนโลหิตก็ดี น้ำเลือดน้ำเหลืองก็สมบูรณ์ดี ผิวพรรณสวยสดงดงาม แล้วจะเอาโรคภัยมาแต่ไหน ร่ายกายเรานี้เป็นโรงงานวิเศษ มันรู้จักคัดแยกดูดซึมเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้ด้วยความเหมาะสม แต่ถ้าธาตุผิดปกติเสียแล้วก็เหมือนเครื่องจักรกลมันชำรุด ประสิทธิภาพในการคัดเลือกแจกจ่ายมันก็เสียหาย การฟื้นฟูสุขภาพจึงต้องฟื้นฟูธาตุให้สมดุล ยาอายุวัฒนะทุกขนานล้วนเป็นยาปรับธาตุทั้ง นั้น แต่การจะใช้ตำรับไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวสมุนไพรที่จะใช้ว่าหาได้ ยากหรือง่าย อันไหนมันยาก ไม่รู้จัก ก็ไม่ต้องหาต้องทำ เลือกเอาที่ง่าย ๆ ทดลองทำกินดูก่อน แต่บางขนานมันไม่เหมาะกับเราก็มี ตามที่เขาว่าลางเนื้อชอบลางยา ใช่ว่าเป็นอายุวัฒนะก็กินได้เหมือนกันทุกคน ขึ้นอยู่กับธาตุของแต่ละบุคคล เช่นธาตุไฟมากแล้วไปกินยาร้อน แทนที่จะดีกลับจะเจ็บป่วยเอา ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นคนหนุ่มแล้วไปกินยาคนแก่ แทนที่จะดีก็กลับจะแย่เอา ความจริงมันก็มีเรื่องละเอียดอ่อนอยู่เหมือนกัน
การปรึกษาผู้รู้ก่อนใช้ก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง


ด้วยความปราถนาดี
หมอเมือง (อภิญญา สันยาสี บภ.)





ยาอายุวัฒนะขนานที่ 1

1. หัวกระชายแก่ 4 บาท 2. เหง้าขิง 4 บาท 3. หัวกะทือ 4 บาท 4.ดอกดีปลี 4 บาท
5. เนื้อสมอไทย 4 บาท 6.โด่ไม่รู้ล้ม 4 บาท 7. รากเจตมูลเพลิงแดง 4 บาท 8. พริกไทยล่อน 10 บาท
9. หรดาลกลีบทอง 8 บาท

สมุนไพรเหล่านี้ต้องล้างให้สะอาดแล้วฝานหรือสับตากแห้ง แล้วบดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน รับประทานวันละ 1 เม็ดพุทรา ท่านว่าจะไม่มีอาการอ่อนเพลีย เดินทางไกล หรือขึ้นเขาลงห้วยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนกินประจำแม้แก่เฒ่าก็จะกลับเหมือนคนหนุ่ม


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 2

ยาขนานนี้เป็นตำราเมืองเหนือ เกิดขึ้นในสมัยที่พม่าครองเมืองล้านนาถึง 200 กว่าปี (ตั้งแต่ พ.ศ.2094-2324) คนเมืองเหนือและคนพม่าก็มีความสนิทชิดใกล้กัน ไปมาหาสู่กันมิได้ขาด มีเรื่องเล่าว่า ยังมีกะทาชายนายหนึ่งอายุมากแล้ว เมื่อภรรยาถึงแก่กรรมลูกหลานก็ไม่เหลียวแล ร่างกายก็ซูบผอม กินไม่ได้นอนไม่หลับ หาเรี่ยวแรงมิได้ จึงระหกระเหินออกจากบ้านไปพบพระพม่ารูปหนึ่งก็ขออาศัยข้าวก้นบาตรท่านยังชีพ คอยรับใช้ท่านไปในตัว พระท่านเห็นร่างกายหาเรี่ยวแรงมิได้ก็ประกอบยาให้รับประทาน ผ่านไป 1 เดือนร่างกายก็กลับมีกำลังวังชาขึ้นมา โรคภัยที่เคยเป็นก็หายไป ต่อมาพระพม่าเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติของท่านในประเทศพม่า ชายชราคนนี้ก็ติดตามไปด้วย และกินยานี้อยู่ประจำ อยู่พม่าได้ปีเศษ ร่างกายก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ผมที่ขาวโพลนก็กลับดำ ผิวพรรณวรรณะก็เปล่งปลั่ง ผิวหนังเต่งตึงดูเหมือนคนอายุสามสิบเศษ เมื่อพระพม่าเดินทางกลับไทยก็ติดตามกลับมาด้วย แล้วกลับไปเยี่ยมลูก ๆ ญาติ ๆ ในหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็จำแกไม่ได้ ดูก็คลับคล้าย คนทั้งหมู่บ้านแปลกใจพากันมาดู บ้างก็ว่าใช่ บ้างก็ว่าไม่ใช่ ทั้งนี้เพราะแกเปลี่ยนเป็นคนหนุ่มเร็วเกินไป อายุ 75 ปีกลับกลายเป็นดุจอายุสามสิบกว่าปีมันก็น่าฉงนอยู่ ต่อมาแกก็ได้เมียสาวคราวลูก มีลูกอีก 3 คน แล้วท่านก็ได้บอกตำรายาของพระพม่าไว้ให้คนทั้งหลายได้ปรุงกิน คนมีบุญทำกินก็ได้ประโยชน์ไปตามนั้น คนไม่มีบุญก็ไม่เชื่อ ก็หาทำกินกันไม่ ก็เป็นเช่นนี้มาทุกยุคสมัย ถ้าไม่เป็นดังนี้ คนเชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็คงเป็นหนุ่ม อายุยืนยาวกันหมดแหละครับ ตำรายามีดังนี้


1. รากช้าพลู 1 ตำลึง 2. รากมะแว้งต้น 1 ตำลึง 3. รากมะแว้งเครือ 1 ตำลึง 4. รากมะเขือขื่น 1 ตำลึง
5. เถาบอระเพ็ด 1 ตำลึง 6. รากเจตมูลเพลิง 1/2 ตำลึง

เมื่อได้ตัวสมุนไพรมาครบแล้วต้องล้างให้สะอาด แล้วสับเป็นชิ้น ๆ ตากแดดให้แห้งดีแล้วจึงบดให้เป็นผง จากนั้นจึงนำขึ้นเครื่องชั่ง ไม่จำเป็นต้องให้ได้ 1 ตำลึง จะเป็น 100 กรัมก็ได้ ส่วนรากเจตมูลเพลิงใช้ครึ่งขีดก็พอ จากนั้นจึงผสมน้ำผึ้งให้เปียกแล้วใส่ภาชนะปิดฝาให้มิดชิด เก็บไว้ในที่ร่ม (ตำราว่าฝังในข้าวเปลือก 7 วัน)เป็นเวลา 7 วัน จึงนำออกรับประทานทุกวัน ๆ ละ 1 เม็ดพุทราดิบ ท่านว่าภายใน 6 เดือนร่างกายจะแปรเปลี่ยนอย่างอัศจรรย์ ผู้เขียนยังไม่ได้หาสมุนไพรมาทดลองปรุงกินดู สมุนไพรพวกนี้หาได้เองยิ่งดี เพราะได้สมุนไพรสดใหม่ สะอาด และของจริงแท้ ถ้าซื้อจากร้านยาสมุนไพรไม่แน่นอน ที่ไม่ค่อยเข้าท่าคือไม่สะอาด เราจะเอามาล้างตอนมันแห้งแล้วก็ไม่สะดวก จึงควรแสวงหาตามบ้านนอกคอกนานั่นแหละ หาได้ง่าย



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 3

เรื่องฝอยตำราโบราณบางทีก็ฟังหูไว้หู เพราะท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงให้เห็นคุณภาพของยาเท่านั้นว่าวิเศษจริง คนที่เอามาทำกินจริง ๆ ก็บอกว่าดีมาก แต่ไม่ถึงขนาดมีหูทิพย์ตาทิพย์หรอก นอกจากผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงขั้นได้ฌาน 4 ฌาน 8 โน่นแหละจึงจะได้ฤทธิ์เดชดังว่า แม้พระอินทร์ก็คงลงมาหาจริง ๆ เพราะพระอินทร์ท่านชอบทำบุญกับพระผู้วิเศษมีกิเลสอันเหือดแห้งแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ กินแล้วมีกำลังวังชา ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนก็ดีถมไปแล้ว ตำรายามีดังนี้

1. มหาหิงคุ์ 1 บาท 2. การบูร 2 บาท 3. ดอกดีปลี 3 บาท 4. ขิงแห้ง 4 บาท 5. เทียนทั้งห้า สิ่งละ 1 บาท 6. ผักแพวแดง 6 บาท
7. สมอทั้งสามสิ่งละ 7 บาท 8. โกฏสอ 8 บาท 9. โกฏเขมา 8 บาท 10. ลูกจันทร์ 9 บาท 11. พริกไทยล่อน 10 บาท

ท่านให้ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ดพุทรา เป็นยารักษาธาตุให้บริบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดี รับประทานประจำจะทำให้มีอายุยืนยาว



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 4

ยาขนานนี้มีที่มาจากภาคใต้ของไทยเรา มีคนใช้กันเยอะ เพราะอยู่ในดงของอิสลามซึ่งชาย 1 คนสามารถมีภรรยาได้ 4 คน ภรรยาจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้สามีรักที่สุด ร.ต.อ.เปี่ยมได้นำมาเผยแพร่ แต่ผู้เขียนได้ตำรานี้จากน้องชายซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์อินทร์ วัดโขลงคูบัว ราชบุรี ท่านแนะนำให้คุณหญิงคุณนายที่สามีแอบไปมีเมียน้อยทำกิน สามีกลับมาหาทุกราย ผู้เขียนก็มียานี้ไว้ประจำสำหรับคนมีปัญหาดังว่า ตำรายามีดังนี้
1. หัวไพล 1 ขีด 2. ขมิ้นอ้อย 1 ขีด 3. ขมิ้นชัน 1 ขีด 4. หัวแห้วหมู 1 ขีด 5. หัวกระชาย 1 ขีด 6. พริกไทยล่อน 2 ขีด

ต้องทำเป็นยาผงก่อน แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละไม่เกิน 2 เม็ดในพุทรา ถ้ารับประทานมากจะผายลมตลอด หรือถ้าเป็นคนธาตุร้อนหรือโรคไตไม่ควรกิน เพราะเป็นยาร้อน คนเฒ่าแก่กินดีมาก จะบำรุงธาตุไฟให้บริบูรณ์ และขับผายลมได้ดียิ่ง ตำราว่าแม้สตรีจะมีบุตรสัก 10 คนก็ยังเหมือนสาวน้อย



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 5

ตำรานี้ท่านพระยาเดโชได้มาจากประเทศเขมรคราวไปปราบเขมรที่เมืองเสียมราฐและ ได้เขมรมาเป็นเมืองขึ้นสมัยต้นกรุงโน่นแหละ ต้นตำราเป็นบทกลอนยาวเหยียด ความว่าท่านได้ไปวัดช้างเนียม หน้าเมืองโพธิสัตว์ เห็นอักษรจารึกที่ประตู ความว่า
ครั้นจะเข้าก็กลัวติดลิขิตบอก ครั้นจะออกก็กลัวติดลิขิตไป
เห็นเจ้าชีวิตคิดขยาดราชภัย ประนามัยหมอบประหม่าแหงนหน้ายล
หน่วยตาเล็งเพ่งพิศพินิจทั่ว เอาที่ตัวตนติดอย่าคิดฉงน
ท่านคิดปริศนาออก จึงขึ้นค้นบนซุ้มประตูวัดนั้นก็พบแผ่นทองคำจารึกด้วยอักษรขอมโบราณซ่อนไว้ ที่ซุ้มประตู เมื่อเอามาอ่านดูก็เห็นเป็นตำรายาใช้ขับโรคสารพัด ตำรายามีดังนี้
1. สมอเขียว 5 ผล ลงพระเจ้า 5 พระองค์(นะโมพุทธายะ)ทุกผล เม็ดในสลอด 7 เม็ด ลงหัวใจพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์(สังวิธาปุกะยะปะ)
หัวแห้วหมู 3 หัว ลงมะอะอุ หัวข้าวค่า 4 หัว ลงทุสะนะมิ เถาบอระเพ็ด 3 ท่อน ๆ ละ 1 องคุลี ลงอิสะวาสุ ใบคนทีสอ 32 ใบ ลงทวัตติงสาเสกด้วยอาการ 32
ยาดำ 1 บาท เสกด้วย เสกขาธัมมา อเสกขาธัมมา เนวเสกขานาเสกขาธัมมา
วิธีปรุงยานั้นมีขั้นตอนดังนี้ หลังจากลงอักขระปลุกเสกทุกสิ่งอันแล้วท่านให้แยกยาแต่ละชนิดใส่ถ้วยแต่ละใบ แล้วแช่น้ำผึ้งไว้ตั้งแต่วันเสาร์ จนครบ 1 อาทิตย์ จากนั้นเทน้ำผึ้งออกเอาแต่ตัวยา ยกเว้นที่แช่ใบคนทีสอเอาทั้งยาและน้ำผึ้ง นำตัวยาทั้งหมดมาบดคลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนแหลกละเอียดดีแล้วก็ปั้นเม็ดเท่า เม็ดพุทธรักษา (โตกว่าเม็ดพริกไทย)

วิธีรับประทาน วันแรกให้รับประทาน 1 เม็ด วันที่ 2 กิน 2 เม็ด ตั้งแต่วันที่สาม กินวันละ 3 เม็ดตลอดไป กินได้ 15 วันโรคภัยหายสิ้น กินได้ 1 เดือน ผิวพรรณจะผุดผ่อง กินได้เดือนครึ่ง จะต้านยาพิษได้ กินได้ 2 เดือน ร่างกายเบา เดินเหินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กินได้ 3 เดือน สติปัญญาสมองปลอดโปร่ง
ท่านพระยาเดโชได้ตำรามาแล้วก็ทำตามตำรา ร่างกายท่านก็แข็งแรง ไม่เคยปวดเมื่อยอะไรเลย จากนั้นก็ลองให้ตาแก้วที่เป็นโรคเรื้อนกินดู ไม่นานก็หายจากโรคเรื้อน ยายเย็นเป็นมะเร็งเรื้อรังมานาน เมื่อกินยานี้ก็หายเช่นกัน นายสงเป็นริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก พอกินยานี้ไม่นานมันก็หดหายไปไม่กลับคืนมาอีกเลย นายคงเป็นหืดหอบ จะนอนแบบชาวบ้านก็ไม่ได้ ต้องพิงหมอนหลับในท่านั่งทุกวี่วัน หลังจากกินยานี้ไม่นานก็หายจากโรคหืดหอบอย่างปลิดทิ้ง ส่วนบทกลอนทั้งหมดนั้นขอนำมาลงไว้ให้ศึกษากันดังนี้

ตำราพฤฒาแถลง
ดำเนินความตามตำราพฤฒาแถลง
โอสถเลิศประเสริฐล้ำนำแสดง ให้แจ่มแจ้งใสสว่างกระจ่างจริง
เดิมได้พบอุปเท่ห์วิเสโส ท่านเดโชชื่ออ้างเป็นอย่างยิ่ง
สถิตถิ่นอยู่ทางบางกระทิง เคยช่วงชิงชัยชาญชำนาญยุทธ
เป็นคนธงวงศ์กษัตริย์วัดประดู่ ได้ต่อสู้พม่ามอญไม่หย่อนหยุด
ครั้งไปรบเสียมราฐปราบกัมพุช พวกขอมดุษฎีงามไม่ลามเลียม
ท่านเดโชชอบคิดปริศนา ด้วยปรีชาแหลมเลิศประเสริฐเสียม
ตรงหน้าเมืองโพธิสัตว์วัดช้างเนียม แต่พอเยี่ยมก็ได้ยลยุบลใน
ครั้นจะเข้าก็กลัวติดลิขิตบอก ครั้นจะออกก็กลัวติดลิขิตไป
เห็นเจ้าชีวิตคิดขยาดราชภัย ประนามัยหมอบประหม่าแหงนหน้ายล
หน่วยตาเล็งเพ่งพิศพินิจทั่ว เอาที่ตัวตนติดอย่าคิดฉงน
กล่าวกลบเงื่อนเกลื่อนกลบแง่กระแสกล ยากจะค้นคิดคำที่สำคัญ
สิ้นลิขิตปริศนาที่สาธก ปลงเห็นตกแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
เอาที่ซุ้มประตูเปิดดูพลัน แผ่นสุวรรณจำหลักอักขรา
เป็นโอสถสำหรับใช้ขับโรค สารประโยคลิขิตปริศนา
จารึกในแผ่นทองคำเป็นตำรา สรรพยาเจ็ดสิ่งอย่างกริ่งใจ
สมอเขียวห้าผลเป็นต้นเค้า ลงพระเจ้าห้าพระองค์อย่าสงสัย
นะโมพุทธายะองค์ละใบ เอาเม็ดในสลอดมาเจ็ดเม็ด
มาลงหัวใจพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ ตามพิธีว่าหวังไม่กังขา
แสดงไว้ให้ประจักรในอักขรา สังวิธาปุกะยะปะแสดง
หัวแห้วหมูดูให้ดีสามศีรษะ ลงมะอะอุอุปเท่ห์เล่ห์แถลง
หัวเข้าค่าสี่หัวเป็นตัวแรง อาจารย์แจ้งวิธีมิอำความ
ลงทุสะนะมิสติตั้ง จงทุกครั้งทุกคราอย่าหยาบหยาม
บอระเพ็ดเด็ดเถาเอาที่งาม คำรบสามท่อนเท่าองคุลี
ลงอิสวาสุอย่างอุกกฤษ์ เป็นไตรพิธพรเลิศประเสริฐศรี
ใบโคนดินสอสามสิบสองต้องวิธี อาจารย์นี้แนะนำตามทำนอง
ลงด้วยทวัตติงสา เสกเป็นยาด้วยอาการสามสิบสอง
เอายาดำบาทหนึ่งคลึงประคอง เสกขาธัมมาปองปลุกเสกไป
อเสกขาธัมมาอย่าสนเท่ห์ เนวเสกขานาเสกขาตำราไข
สัทธยาปลุกเสกสำรวมใจ ยาสิ่งหนึ่งจึงใส่ไว้ถ้วยหนึ่ง
แช่น้ำผึ้งเป็นเคล็ดไว้เจ็ดฐาน เริ่มวันเสาร์เคารพสัตตะวาร ตำราจารย์แจ้งคดีวิธีทำ
เอาตัวยามาเคล้าเข้ากันหมด ใส่หีบบดบุบขยี้บี้ขยำ
แต่น้ำผึ้งที่แช่ยาในสารัมภ์ ท่านแนะนำพร่ำไว้ในบรรยาย
กลเม็ดเคล็ดเคล้าให้เอาแต่ ที่ชุบแช่โคนดินสอเป็นกระสาย
แต่หกสิ่งทิ้งเสียอย่าเสียดาย ทั้งหญิงชายจงทำตามตำรา
ส่วนโอสถบดเสร็จบอกเคล็ดเคล้า จงปั้นเท่าเมล็ดพุทธรักษา
เมื่อแรกกินเม็ดหนึ่งเริ่มประเดิมยา สองเวลาสองเม็ดเสร็จสองวัน
กินสามมื้อสามเม็ดเผด็จโรค แม้นบริโภคเรี่ยวแรงแข็งขยัน
เสพสามเม็ดเสมอสมัยไปทุกวัน เรี่ยวแรงนั้นถ้าน้อยกินถอยลง
กำหนดสิบห้าวันโรคพลันหาย สบายกายเกิดกำลังดังประสงค์
ถ้ากินไปไม่เคลื่อนครบเดือนตรง เป็นรูปทรงโสภางามกว่าคน
กินเดือนครึ่งถึงจะลดกำหนดนั้น คงกระพันพิษยาอย่าฉงน
สองเดือนกินสิ้นหมดพจน์นิพนธ์ ว่าตัวตนเบาหวิวเดินปลิวไป
แม้นกินได้ไตรมาสฉลาดล้ำ ปัญญาจำธรรมศาสตร์นิบาตไสย
โดยสามารถอาจองค์ดำรงไตร แสดงในคุณวุฒิอุตตโม
ค่าขวัญข้าวเอาสลึงเป็นหนึ่งแน่ ทำบุญแก่สังฆเพศวิเศษโส
อวยอุทิศจิตตั้งหลั่งชะโล ไปยังโบราณาจารย์สำราญเจริญ
จงลุล่วงมัคราสิวาโมกข์ ตลอดโลกหฤหรรษ์สรรเสริญ
ขวัญข้าวอย่ายินดีตีประเมิน ใครเรียกเกินพิกัดที่อัตรา
จงฉิบหายตายตกนรกร้อน ปากคาบก้อนเหล็กแดงร้อนแรงกล้า
ใครคิดออกบอกกันอย่าฉันทา อย่ามุสาวาดหวังปิดบังกัน
ในข้อคำปริศนาดังว่านี้ ความยินดีดาลดวงทรวงกระสัน
ด้วยสำนึกเสร็จศึกกัมพุชพลัน กลับคืนขัณฑสีมาสยาโม
ได้หยุดหย่อนผ่อนเมื่อยหายมึนแล้ว ใจผ่องแผ้วกายวายทุกข์เป็นสุโข
ความนิยมสมคะเนท่านเดโช ประกอบโอสถทำตามตำรา
ให้ตาแก้วบริโภคแก้โรคเรื้อน ไม่คลาดเคลื่อนหายสนิทดังปริศนา
ยายเย็นเป็นมะเร็งนมนานมา ให้กินยานี้ก็หายสบายใจ
นายสงเป็นสีดวงงอกเหมือนดาก ดูลำบากเหลือล้นพ้นวิสัย
กินยานี้หายหมดหดเข้าไป หายแล้วไม่กลับเป็นเหมือนเช่นเคย
นายคงง่อยจ๋อยจืดเป็นหืดหอบ ลงนอนมอบหมอบอิงพิงเขนย
กินยานี้หายวายเว้นไม่เป็นเลย แสนสเบยเบิกบานสำราญใจ
โดยคุณยาสามารถบำบัดแก้ วิเศษแท้เที่ยงตรงอย่าสงสัย
รักษาหายวายโศกสิ้นโรคภัย จึงบอกไว้หวังจิตคิดเป็นทาน
ข้าพเจ้าเดโชถ้าโกหก ให้ตายตกอเวจีอัคคีผลาญ
ตำใต้เทวทัตปฏิญาณ อเนกาลนับอนันต์พุทธันดร
รังสฤษ์ปริศนาตำราเสร็จ ด้วยจิตเจตน์เป็นทานานุสรณ์
หวังประโยชน์โพธิญาณสารสุนทร ลุนครเขตต์วิวัฏสวัสดี.



ยา อายุวัฒนะขนานที่ 6

แก้กามตายด้าน
ยานี้แก้โรคกามตายด้านของผู้ชาย ที่เรียกว่านกเขาไม่ขัน ชื่อสมุนไพรบางตัวก็แปลก ๆ มีเฉพาะบางท้องถิ่น มีตัวยา 7 ตัวคือ
สมุนไพรเหล่านี้ท่านไม่ได้บอกสัดส่วน ก็คงใช้แต่ละพอประมาณเท่า ๆ กัน ล้างสะอาดดีแล้วตากแดดให้แห้ง ดองด้วยสุรา 45 ดีกรี ใส่น้ำผึ้งพอสมควร รับประทานเช้า-เย็น ครั้งละ 1 จอก
1. โด่ไม่รู้ล้ม 2. หญ้าไก่นกคุ่ม 3. หญ้าสามสิบสองราก 4. หนาดพา 5. นาคมีแลน 6. หญ้าปฐม


ยาอายุวัฒนะขานที่ 7
แก้กามตายด้าน
1. เปลือกมะพลับ 2. เปลือกตะโกนา
เอายาทั้งสองอย่างนี้ปิ้งไฟให้กรอบดีแล้วชงน้ำร้อนรับประทานแทนน้ำชา ท่านว่าทำให้ทนทานดี



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 8
แก้กามตายด้าน
1. บอระเพ็ดพุงช้าง 2. โด่ไม่รู้ล้ม 3. ม้ากระทืบโรง
ใช้สัดส่วนเท่ากัน ตากแห้งแล้วดองสุรา รับประทานเช้า-เย็น 3-4 อาทิตย์ก็เห็นผลดี



ยาอายุวัฒนะขนานที่ 9
แก้กามตายด้าน
ท่านประพันธ์เป็นถ้อยคำคล้องจองกันว่า
อนึ่งราชาบุรุษ องคะชาติชำรุดปรำปรา ดูดีแต่ตาโสภาแต่ใจ
ยกดอขึ้นตั้งขดดังปลาไหล หางลากเข้ากองไฟแสนเวทนา
เอาหัวเข้าจดมันหดออกเอง ทำพองโตงเตงชั่วช้าสาธารณ์
อาจารย์ท่านรู้เอารากช้าพลูแลขิงแห้งมา หรดาลกลีบทอง ดีปลีต้องหา
อีกเถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิงนา ลูกจันท์ทั้งมวลล้วนแต่เป็นยา
เอาเสมอภาคตากแห้งสิ้นกระบวน โขลกตำเป็นผงร่อนลงละเอียด
คลุกเคล้าละเลียดด้วยน้ำผึ้งรวง กินเช้ากินเย็นเจ็ดวันไม่เว้นจึงตื่นขึ้นมา
แม้แก่ชราอายุแปดสิบเกี้ยวเมียสู้ยิบ ไม่เว้นแต่ละวัน แม่ม่ายหัวสั่นขอตัวแทบตาย


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 10
แก้กามตายด้าน ตำรานี้เป็นของเมืองเหนือ
1. มะเขือแจ้เครือ 2. จงละอาง 3. ม้าแม่ก่ำ
เป็นยาผงละลายน้ำสุรารับประทานเช้า-เย็นทุกวัน ท่านว่าวิเศษจริง


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 11
แก้กามตายด้าน
ให้เอากระโปกกระชาย (หัวกระชาย เอาทั้งหัวและรากนั่นแหละ)
ขัดมอญทั้งห้า ถอนขึ้นมาทั้งราก เอาทั้งหมดนั่นแหละ
ความหมายคือ เอารากหมากหมก รากอ้ายเหล็กนางยอง รากขลี รากทุ้งฟ้า รากน้ำเต้า ต้มกินทุกวัน


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 13
แก้กามตายด้าน
ท่านให้เอา ขันเพชร เล็ดหนู สำคัญคู่เป็นตัวยา เถาวัลย์พรรณพฤกษา ต้นมรณาปลายยังเป็น
สิทธิอาจารย์ว่าท่านให้เอาย่านเอ็น เส้นสายที่ตายเป็นจักคืนดี ถ้าต้มกินหม้อหนึ่งมิรำพึงถึงความตาย
เฒ่าชราฟันหาไม่ยังแค่นไปได้คืนละสามหน หมายความว่าเอาสมุนไพรดังต่อไปนี้คือ รากขันเพชร
รากเร็ดหนู ต้นฝอยทองที่อยู่ตามต้นไม้ ย่านเอ็น เอามาต้มกินต่างน้ำ
สัดส่วนเท่ากัน ใช้ตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอนก็ได้ หรือเอามาต้มกินน้ำก็ได้ ใช้ดองสุราดื่มทุกวันก็ได้ รับประทาน เช้า-เย็น ยาขนานนี้เป็นของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านบันทึกไว้แต่ปี 2409 เป็นตำรายาที่ขึ้นชื่อมาก ส่วนมากหมอยาในกรุงเทพ ฯ และภาคกลางล้วนรู้จักและปรุงกินกันมาก แต่ท่านว่าอายุหนุ่มน้อยกินไม่สู้ดี เพราะธาตุไฟแรงจะเผาร่างกายให้ผ่ายผอม เหมาะสำหรับคนอ้วนต้องการลดความอ้วนกินยานี้น่าจะดี ตัวยามีดังนี้

1. เปลือกทิ้งถ่อน 2. เปลือกตะโกนา 3. เถาบอระเพ็ด 4.เมล็ดข่อย
5. หัวแห้วหมู 6. หัวกระชาย 7.พริกไทยล่อน
ยาทั้งหมดสัดส่วนเท่ากัน ตากแห้งบดผงผสมน้ำผึ้งกินก่อนนอน วันละ 1-2 เม็ด ท่านว่ากินได้ 1 เดือนตัวพยาธิลำไส้ออกมาหมด หายจากอาการปวดเมื่อยอ่อนเพลียโดยไม่ต้องอาศัยหมอนวดบีบ การหมุนเวียนโลหิตดี เลือดลมไหลสะดวก เรื่องอย่างว่าก็สู้บ่ยั่นเหมือนกัน ถ้าเป็นพระทำฉันให้งดกระชายเสีย เพราะเป็นยาบำรุงกามารมณ์


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 18
บำรุงร่างกาย
1. กล้วยน้ำว้าสุก 2. เนื้อมะตูมสุก 3. พริกไทยล่อน
เอาตัวยาทั้งหมดมาตำเข้าด้วยกัน แล้วทำเป็นแผ่นตากให้แห้ง จากนั้นก็ใส่ขวดโหล ใส่น้ำผึ้งให้ท่วมยา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ 2 อาทิตย์จึงเอาออกมารับประทานวันละ 1 ช้อนกาแฟ ผ่านไปเพียง 15 วันกำลังวังชาจะกลับคืนมา กินต่อไปถึง 30 วัน ผิวพรรณจะผุดผ่องเต่งตึง ความรู้สึกทางเพศก็กลับคืนดี คนอายุ 60 จะกลับมีแรงเหมือนอายุ 30 ปี ถ้ากินประจำจะมีอายุถึง 120 ปี


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 19
บำรุงร่างกาย
1. หัวขิง 2. หัวข่าเล็ก 3. หัวแห้วหมู 4.เถาบอระเพ็ด
5.ดอกดีปลี 6. กระเทียม 7. รากแจง 8.สมอเทศ
9. สมอไทย 10.สมอพิเภก 11.สมอดีงู 12.ลูกมะขามป้อม
สมุนไพรทั้งหมดนี้ใช้สัดส่วนเท่ากัน ตากแดดให้แห้งดีแล้วจึงทำเป็นยาผง ใช้ละลายน้ำร้อนรับประทานก่อนอาหารเย็น ทำให้นอนหลับสบาย ท้องไส้ทำงานดีไม่มีลมเบียดเบียน ร่างกายกลับแข็งแรง คนแก่ก็จะกลับเป็นหนุ่มสาว
เอายาทั้งหมดนี้มาตำเข้าด้วยกัน แล้วใส่โหลหรือกระปุกเก็บไว้รับประทานก่อนอาหาร หรือก่อนนอน เป็นยาขับถ่ายสิ่งโสโครกออกจากร่างกาย ถ้ารับประทานประจำโรคภัยหายหมด ผิวพรรณวรรณะก็ดีงาม กลิ่นตัวกลิ่นปากหรืออื่น ๆ จะหายไปหมด


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 21
บำรุงร่างกาย ยานี้ชื่อยากำลังราชสีห์ ตัวยามี 5 อย่างด้วยกันคือ
1. เถาบอระเพ็ด 2. หัวแห้วหมู 3. หัวกระชาย 4. พริกไทยล่อน 5.เกลือสะตุ
เอาตัวยาทั้งหมดมาตำเข้าด้วยกันแล้วใส่โหล ใส่สุราให้ท่วมยา ปิดให้สนิทแล้วนำไปฝังโคลนที่ชายน้ำในวันแรม 14 ค่ำ พอขึ้น 15 ค่ำของอีกเดือนหนึ่งจึงไปขุดขึ้นมารับประทาน ก่อนอาหารเย็นครั้งละ 1 ถ้วยตะไล จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยทั้งปวง จะมีกำลังดุจหนุมาน คำว่าแก่จะไม่มี ท่านว่าผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นจึงได้รับประทาน แต่เรื่องการหมักโคลนนั้นมีเหตุผลทีต้องการความเย็น สมัยนี้ใส่ตู้เย็นย่อมเหมาะสมกว่า


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 22
บำรุงร่างกาย
ยานี้ชื่อยาเปลี่ยนร่าง มีนิทานเล่าประกอบว่า นานมาแล้ว จะเป็นเมืองอะไรท่านไม่ได้บอกไว้ มีชายคนหนึ่งอายุมากแล้ว ไปทำงานเฝ้าสวนหลวง ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก แต่เมื่อไปหาได้เอาบุตรภรรยาไปด้วยไม่ เมื่อทำงานก็มักถูกผู้บังคับบัญชาดุด่าเสมอ เพราะเป็นคนสุขภาพไม่ดี เมื่อถูกดุด่าถูกทำโทษบ่อย ๆ ชายผู้นี้คืนหนึ่งนอนไม่หลับจึงเดินไปเรื่อย ๆ ไปพบต้นไม้ใหญ่จึงคิดว่าต้นไม้นี้ชะรอยจะมีเทวดาผู้มีศักดิ์สิงสถิตย์อยู่ เป็นแน่ เขาจึงกราบที่โคนต้นไม้กล่าวขึ้นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์คนซื่อ แต่กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลงทุกที มีแต่ได้รับทุกข์โทษจากเจ้านายอยู่ทุกวัน ถ้าท่านเทพยดามีฤทธิ์พอจะช่วยกระทำให้ตัวข้าพเจ้านี้มีเรี่ยวแรงดุจคนหนุ่ม แล้วไซร้โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วเขาก็นอนหลับไปที่ใต้ต้นไม้นั่นเอง เทวดาจึงมาเข้าฝันบอกว่า เจ้าจงไปหาต้นยาเหล่านี้มาทำยากินเถิด แล้วจะแข็งแรงดุจคนหนุ่ม แต่อย่าเอาไปทำขาย ควรบอกกล่าวแก่ผู้อื่นเป็นทานเพื่อจะได้มีผลานิสงส์ต่อตัวเองต่อไปในภพหน้า ตัวยามีทั้งหมด 9 ชนิดด้วยกันดังนี้
ยาทั้งหมดนี้เอาน้ำหนักเท่า ๆ กันทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานก่อนเข้านอนขนาดปลายนิ้ว


ยาอายุวัฒนะขนานที่ 23
แก้กามตายด้าน
ยานี้ชื่อยาหมื่นศรี หมื่นศรีเป็นมหาดเล็กของเจ้าพระยาศรีธรรมโศก เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยโบราณ ท่านบันทึกเป็นบทกลอนด้วยภาษาขอมสืบทอดกันมาจนถึงเรา ๆ ท่าน ๆ ทุกวันนี้ ผมไปเที่ยวเมืองใต้นอนค้างอยู่ตามวัดวาอาราม ท่านเจ้าอาวาสยังกล่าวเป็นคำกลอนให้ผมฟัง แสดงว่าคนใต้หลายคนที่รู้จักยาของหมื่นศรี และหลวงตารูปหนึ่งในวัดนั้นซึ่งบวชตอนแก่ อายุท่านได้ 82 ปีแล้ว แต่ยังเป็นช่างไม้ยืนถือกบไสไม้ด้วยอาการทะมัดทะแมงราวกับคนหนุ่ม ท่านว่าสมัยเป็นฆราวาสท่านฉันยานี้ประจำ แต่สมัยต่อมากัญชาหายากจึงไม่ได้ปรุงฉัน แต่ฤทธิ์ยามันยังทำงานอยู่จึงทำให้ท่านยังแข็งแรงดุจคนหนุ่ม และร่างกายไม่อ้วนเหมือนคนแก่อื่น ๆ ต่อมาผมมาพบตำรานี้ในตำรายาของ ร.ต.อ.เปี่ยม บุญยะโชติ ซึ่งเป็นคนนครศรีธรรมราชเช่นกัน ท่านเคยเป็นเลขาท่านจอมพล ป.พิบูลสงครามสมัยยังเรืองอำนาจ และเป็นคนแต่งตำรับตำราไว้มากมายหลายเรื่อง เป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องบูชามาก ยาต่าง ๆ ผมได้จากตำราท่านมาก ตำราคนอื่นก็มี ผสมผเสกันไป จึงขอนำบทกลอนมาลงไว้
ถึงเกยกายก็ไม่สมอารมณ์หวัง
มานอนนิ่งเสียได้ไม่อินัง เอามือรอต่อตั้งไม่นำพา
ตาหมื่นศรีก็เชื่อเหลือปรากฏ จึงได้จดจำไว้ให้เร่งหา
หัวขิงแห้ง รากช้าพลู แห้วหมูมา ทั้งกัญชา ลูกจันท์และพริกไทย
หรดาลกลีบทองต้องสำเหนียก ดีปลีเชือกเหมือนว่าหามาใส่
ครบแปดสิ่งเสมอภาคไม่ยากใจ ใส่ครกใหญ่ตำผงให้จงดี
แล้วเสกด้วยคาถาตรีสิงเห สัมพุทเธให้งามตามดิถี
น้ำผึ้งรวงเป็นกระสายลายทันที เอายานี้กินลองสองสามวัน
คงจะเห็นฤทธาคุณยานี้ ตาหมื่นศรีเจ้ายาอุตส่าห์หมั่น
อายุแกแปดสิบเศษสังเกตกัน ภรรยานั้นมากมายหลายสิบคน
ตาหมื่นศรีกินยาอยู่บ่อย ๆ ว่าไม่น้อยไม่เท็จคืนเจ็ดหน
ภรรยาออกระอาไปทุกคน ที่เหลือทนก็หนีออกนอกคามา
ถ้าผู้ใดกินยาเหมือนว่าไว้ คงจะได้สมมาตรปรารถนา
ไม่หลอนหลอกบอกชัดตามสัจจา ถ้ามุสาขอให้ตกนรกเอย.
หมายความว่า 1.หัวขิงแห้ง 2.รากช้าพลู 3.หัวแห้วหมู 4.กัญชา
เอามาทำเป็นผงก่อน แล้วผสมน้ำผึ้งรวงแล้วขณะปรุงยาก็เสกด้วยคาถาตรีสิงเห และสัมพุทเธ ท่านว่ากินเพียง 2-3 วันก็จะรู้ว่ายาดีแค่ไหน
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 24 แก้กามตายด้าน ร.ต.อ.เปี่ยม บุณยะโชติได้มาจากเจ้าน้อย ณ เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2506 เจ้าของตำราเล่าว่ามีเพื่อนที่เครื่องสืบพันธุ์ตายแล้ว ใช้ยาฝรั่งฉีดก็ไม่ยอมลุกขึ้น กินยาสารพัดเป็นเวลาปีเศษ ๆ มันก็ยังนอนนิ่งทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็อายุเพียงสามสิบเศษ ๆ เท่านั้น มาวันหนึ่งเห็นพระธุดงค์กางกลดอยู่ริมป่าจึงนำข้าวปลาอาหารไปถวาย พระท่านเห็นสีหน้าหม่นหมองเหมือนมีทุกข์กังวลใจอะไรอยู่จึงสอบถาม ชายหนุ่มจึงเล่าความทุกข์ให้ฟัง ท่านฟังแล้วก็บอกว่าอย่าวิตกไปเลย อาตมามียาที่ช่วยเหลือคนแบบนี้มาหลายคนแล้ว ให้โยมเอาไปปรุงกินเถิด ตัวยามีดังนี้
ยานี้ชื่อเสาธงเหล็ก
1. หัวกระชายแก่ 2. หญ้าปากควาย 3. ต้นขัดมอญทั้งห้า 4. ข้าวเปลือก
สมุนไพรทุกตัวหนักเท่ากัน ให้เอายาเหล่านี้ใส่หม้อ ใส่น้ำให้ท่วมยา น้ำสี่ส่วน ต้มเคี่ยวจนเหลือ 1 ส่วน ให้รับประทานติดต่อกันให้ได้ 3 หม้อ หรือมากกว่านี้ก็ได้ เรื่องวิตกทุกข์ร้อนก็จะคลายไปสิ้น เมื่อชายหนุ่มทำยานี้กินก็ได้ผลดุจท่านบอกจริง ๆ
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 25 บำรุงร่างกาย
ชื่อยาลูกยอ เป็นตำรับยาที่หลวงพ่อโอภาษีได้มาจากพระครูนนท์ วัดใต้ปากพนังซึ่งมีอายุถึง 105 ปี เป็นผู้มอบให้ มีส่วนประกอบดังนี้
1. เถาบอระเพ็ด 6 บาท 2. หัวกระเทียม 3 บาท 3. พริกไทยล่อน 2 บาท 4. เหง้าขิงแห้ง 1 บาท
5. ยาดำ 3 บาท 6. ลูกยอหนักเท่ายาทั้งหมดรวมกัน
เอายาทั้งหมดตากแดดให้แห้ง แล้วบดเป็นผงรวมกัน ผสมกับน้ำผึ้ง กินก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ดพุทรา หรือขนาดปลายนิ้วก้อย ผ่านไป 1 เดือนโรคภัยจะหายสิ้น ผิวพรรณวรรณะจะกลับดูเหมือนหนุ่มสาว
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 26 แก้กามตายด้าน
1. อังคุณะ 2. พริกไทยล่อน 3. หัวกะทือ 4. ว่านเสมา 5. พิลังกาสา 6.โลลุ 7.คนทีสอ 8. โคกกระสุน 9. ว่านน้ำ 10.เกาะดูรุเพทะ
ยาทั้งหมดนี้ให้บดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งรวงรับประทานหลังอาหารเย็น จะทำให้เจริญอาหาร นอนหลับดี แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แก้ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย กินได้ 2 เดือนร่างกายจะกลับเป็นหนุ่ม
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 28 บำรุงร่างกาย
คัดจากตำรายาไทยจีนของ ร.ศ.พัฒน์ สุจำนงค์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทั้งหมดบดผงผสมน้ำผึ้งรับประทานครั้งละลูกพุทรา รับประทานประจำแก้โรคกษัย โรคลม โรคในตัวทั้งปวง และทำให้กลับหนุ่มสาวเหมือนวัยรุ่น
1. เกสรบุญนาค หนัก 2 บาท 2. สมอพิเภก หนัก 3 บาท 3. สมอไทย หนัก 3 บาท 4. มะขามป้อม หนัก 3 บาท
5. ดอกดีปลี หนัก 3 บาท 6. ลูกเร่ว หนัก 4 บาท 7. ขิงแห้ง หนัก 3 บาท 8. ว่านน้ำ หนัก 3 บาท 9. ลูกราชดัด หนัก 2 บาท
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 29 แก้กามตายด้าน
เอากระเทียมสดบดกับเนย รับประทานประจำทุกวัน วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร กำลังดี ไม่ล่มปากอ่าว
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 30 บำรุงร่างกาย
1. พริกไทย 7 เม็ด 2. พริกขี้หนูแห้ง 7 เม็ด 3. ขิง 7 แว่น 4. ข่า 7 แว่น 5. ข้าวสาร 7 เม็ด 6. น้ำมันมะกอก 7 หยด
7. น้ำมันจันท์ 7 หยด 8. กล้วยน้ำว้าสุก 7 ลูก
เอามาตำให้แหลกจนเข้ากันดีแล้วผสมน้ำผึ้ง ให้ทำวันแรม 7 ค่ำ กินวันละ ลูกพุทรา กำลังดีมาก
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 31 บำรุงร่างกาย
เอารากกะทกรกมาต้มกิน เวลาไปขุดรากกะทกรกให้ไปขุดวันอังคาร พอถึง 3 อังคารแล้วให้ต้มกิน ระหว่างที่ต้มหม้อที่ 1 นั้นก็ไปขุดในวันอังคารอีก 3 อังคาร รวมเป็น 6 อังคาร พอถึงวันอังคารที่ 7 ให้ต้มกิน รวมเป็น 2 หม้อ ต้มกินต่างน้ำชาก็ได้ เวลาขุดรากกะทกรกนั้นไม่ว่าจะได้มากหรือน้อยท่านให้คอนกลับบ้านแล้วเอามา แขวนไว้จนครบ 3 อังคาร และ 7 อังคาร ยานี้ต้องทำของใครของมัน จะให้คนอื่นทำให้ไม่ได้
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 32 แก้กามตายด้าน
ลงผสมคนให้เข้ากันดีแล้วก็ยกลง พอเย็นแล้วจึงปั้นเท่าเม็ดพุทรา รับประทานเช้าเย็นครั้งละ 1 เม็ด รับประทานได้ 2 เดือนโรคลมจะหาย หูจะได้ยินถนัด ตาจะสว่าง ผิวพรรณจะสวยงาม ร่างกายจะแข็งแรง ร.ต.อ.เปี่ยมเล่าว่า เดิมที่ได้ตำรายานี้มา หลวงศรีเทพบาล บ้านอยู่สะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ได้เล่าว่ามีพระรูปหนึ่งธุดงค์มาแต่เมืองตะวันตก มาพักอยู่ที่วัดเสาวคนธ์ กรุงเทพ ฯ บอกว่าอายุ 70 ปี แต่ดูร่างกายท่านยังหนุ่มมาก หลวงศรีเทพบาลจึงขอตำรายาที่ท่านฉัน เมื่อได้มาแล้วก็ยังไม่ได้ทำ เพราะไม่รู้จักต้นพญามุติ จนมาถึง พ.ศ.2459 มีพระรูปหนึ่งได้นำต้นพระยามุติมาให้ดู และได้ทำยารับประทานตั้งแต่นั้นมา ร.ต.อ.เปี่ยมเล่าว่าท่านได้ทำยาขนานนี้ รับประทานได้ 2-3 เดือน ลมออกหูก็หาย หูได้ยินชัดเจนดี ตาที่มัวก็กลับอ่านหนังสือได้ หน้าที่เคยเป็นฝ้าด่างดำก็หายไป ร่างกายก็แข็งแรง หลับสนิทดี
ท่านบอกลักษณะต้นพระยามุติว่า ใบของมันคล้ายใบตั้งอ้อ ดอกคล้าย ๆ ตุ้มหู หรือคล้ายดอกผักกาด ดอกแบนสีเหลือง ถ้าขึ้นตรงพื้นดินสมบูรณ์ต้นจะสูงถึง 2 ศอกเศษ ชอบขึ้นตามหาดทราย หรือดินปนทราย ใช้ทำแกงเลียงกินได้ บางคนเรียกต้นออ มีมากในเดือน ยี่-3
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 34 บำรุงร่างกาย
1. ขมิ้นอ้อย 2. ผักเสี้ยนผี 3.โคกกระสุน 4. หัวแห้วหมู
ตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง กินก่อนนอนวันละ 1 เม็ดพุทรา ทำให้เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 36. บำรุงสายตา
เอาหัวแห้วหมูมาล้างให้สะอาด แล้วคั่วไฟ แล้วทุบให้แตก นำมาชงดื่มแบบน้ำชา แก้ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย ร่างกายแข็งแรง ตาสว่างดุจคนหนุ่ม ฟันทนแข็งแรง ร่างกายกลับเป็นหนุ่มสาว
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 37 บำรุงร่างกาย
1. กำลังวัวเถลิง หนัก 3 บาท 2. เปลือกตะโกนา หนัก 3 บาท 3. เปลือกทิ้งถ่อน 3 บาท 4. เขากวางอ่อน 3 บาท
5. แสมทะเล 3 บาท 6. เมล็ดข่อย 3 บาท 7. รากส้มกุ้งใหญ่ 2 บาท 8. รากส้มกุ้งน้อย 2 บาท 9. หัวบัวขม 2 บาท 10.ฝางเสน 2 บาท
เอาตัวยาทั้งหมดมาตำพอแหลก แล้วห่อผ้าขาวดองสุราไว้ 7 วัน กินวันละ 1 จอก หลังอาทิตย์ตกดิน
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 38. บำรุงร่างกาย
1. เมล็ดข่อย 2. พริกไทยล่อน 3. หัวแห้วหมู 4. หัวบัวขม 5. หัวกระชายแก่ 6. ผักเสี้ยนผี 7. โคกกระสุน 8.เนื้อสมอทั้ง 3 อย่างละ 10 บาท
เอามาทุบดองสุรา กินก่อนอาหารเย็น กินประจำอายุยืนถึง 100 ปี แข็งแรงทำงานหนักได้ดุจคนหนุ่ม
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 39. แก้กามตายด้าน
ต้นกะเม็งทั้งห้า (ถอนขึ้นมาทั้งราก เอาทุกส่วน) เอามาสักหอบใหญ่ ๆ ล้างให้สะอาดแล้วสับเป็นชิ้น ๆ ตำหรือปั่นให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำให้ได้น้ำหนัก 6 ขีด
เอาเกลือแกง 3 ขีด ตำให้แหลกแล้วผสมลงไป เอายาตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำแห้ง ขูดเอาเกลือที่ผสมยานั้นแหละใส่กระปุกไว้ เกลือสะตุ (เอาเกลือใส่หม้อดินปิดฝาให้สนิทแล้วตั้งบนเตาถ่านประมาณ 30 นาที เกลือจะสุกจึงชื่อเกลือสะตุ ตำยาทั้งหมดให้แหลกเป็นผงแล้วผสมน้ำผึ้งปั้นเม็ด หรือดองสุราก็ได้ กินก่อนอาหารเช้า ขนาดปลายนิ้วก้อย ท่านว่าจะมีพละกำลังดุจพญาราชสีห์
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 49. ยาเปลี่ยนร่าง
1. ลูกจันท์ 2. ดอกจันท์ 3. กระวาน 4.กานพลู 5. สมุลแว้ง 6. มหาหิงคุ์ 7. ชะเอมเทศ 8. หัศคุณเทศ 9.พริกไทยล่อน
ท่านให้ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง กินหลังอาหารค่ำ หรือก่อนนอน กิน 1 เดือนโรคภัยจะหายสิ้น กิน 3 เดือน จะแข็งแรง ผิวพรรณสวยงาม
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 50 ยาหลวงปู่อายุ 90ปี ร.ต.อ.เปี่ยม บุณยะโชติเล่าว่าท่านไปพบหลวงปู่รูปหนึ่งอายุ 90 ปี อยู่วัดป่า เห็นท่านแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่ว นึกว่าอายุสัก 50-60 เมื่อถามอายุท่านบอกว่า 90 ปี จึงถามว่าท่านฉันยาอะไรจึงแข็งแรงเช่นนี้ หลวงปู่จึงให้สูตรยาที่ท่านฉันประจำดังต่อไปนี้
1. รากเจตมูลเพลิง 10 บาท 2. หัวแห้วหมู 20 บาท 3. หัวกระชาย 20 บาท 4. กระเทียม 20 บาท 5. ยางสลัดได 20 บาท 6. พริกไทยดำ 50 บาท
ให้ทำเป็นผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานหลังอาหารขนาดปลายนิ้วก้อย หรือตามธาตุหนักเบา
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 51 แก้กามตายด้าน
1. โด่ไม่รู้ล้ม 2. หัวกระชาย 3. พริกไทยล่อน 4. โสมแดง 5. ลูกยอ 6. เหงือกปลาหมอแดง 7. ดอกดีปลี 8. ฟ้าทะลายโจร 9.หัวแห้วหมู
ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้งปั้นเม็ดขนาดเม็ดพุทรา รับประทานวันละ 2 เม็ดก่อนอาหาร ร่างกายจะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความรู้สึกทางเพศจะดีมาก
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 52 ยากำลังวิเศษ
1. กำลังหนุมาน 2. กำลังวัวเถลิง 3. ขมิ้นอ้อย 4. เถาเอ็นอ่อน 5. เถาบอระเพ็ด 6. หญ้าเอ็นยืด 7. ฟ้าทะลาย 8. หัวกระชาย
9. เหง้าขิงแห้ง 10.พริกไทยล่อน 11. อำพันทอง 12.โสม
ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้ง รับประทานครั้งละปลายนิ้วชี้หลังอาหารเช้าหรือเย็น
53. ตำรายาเหงือกปลาหมอ
ตำรายานี้ได้มาจากเมืองพิษณุโลก ท่านให้เป็นปริศนาว่า ถ้าใครคิดได้ให้ขุดลงไปจะได้ทอง 100 ตำลึง คนฉลาดแก้ปริศนาออกจึงไปขุดก็พบแผ่นศิลาปิดปากหลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อเปิดออกดูก็พบใบลานยาวประมาณ 1 คืบ เมื่อเอามาอ่านดูก็พบว่าเป็นตำรายาวิเศษ จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ มีใจความว่า
พระฤาษีแสดงไว้เป็นทานแก่สมณชีพราหมณาจารย์ และมนุษย์ทั่วไปทั้งหญิงและชายเพื่อจะให้บำบัดโรค ถ้าผู้ใดได้ตำรานี้แล้วขอให้บอกต่อ ๆ กันไป จะได้อานิสงส์กัลป์ ถ้าเอาตำรายานี้ไว้ไม่เชื่อถือแล้วจะต้องไปตกนรก ตำรายานี้ชื่อ ตำราต้นเหงือกปลาหมอ ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงทาง หรืออยู่ในที่ใด ๆ ก็ดี อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณวิเศษมากมายหลายอย่างคือ
ถ้าเจ็บตา ตานั้นแดง ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำกับหัวขิง เอาหยอดตาหายแล
ถ้าเป็นเหน็บชา เท้า มือ หรือทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำทาที่เจ็บนั้นหาย
ถ้างูกัด ให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำทั้งกินทั้งทา หายแล
ถ้าเป็นฝีบวมขึ้นมา ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยมารวมกันตำทา หายแล
ถ้าเป็นริดสีดวงงอก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยตำปนกับน้ำมันหรือน้ำมูตรทา หายแล
ถ้าเป็นไข้หนาวสั่นไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขิงตำปนกันแล้วกิน หายแล
ถ้าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาน้ำกิน แล้วเอาใบส้มป่อยต้มน้ำอาบ หายแล
ถ้าเป็นมะเร็งแตกทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ พริกไทย ดีปลี สิ่งละเท่ากัน ตำเป็นผงกินกับน้ำร้อน หายแล
ถ้าเป็นผื่นแดงคันขึ้นมาเกาจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือที่เรียกว่าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอมาต้มกิน เอามาต้มกับใบส้มป่อยอาบด้วย หายแล
ถ้าเป็นมะเร็ง ทำให้ลงจนตัวเหลือง ให้เอาเหงือกปลาหมอ กระชาย มะคำไก่ และสมอทั้งสาม ต้มกิน หายแล
ถ้าหญิงมีระดูขาด หรือโลหิตแห้งแต่ 1 เดือนถึง 3 เดือนก็ดี ให้เจ็บผอมเหลืองทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเป็นผงละลายน้ำมันงาหรือน้ำผึ้งกินทุกวันไป โรคนั้นหายแล
ถ้าเจ็บหลัง เจ็บบั้นเอว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับชะเอมเทศตำเป็นผงละลายน้ำกินทุกวัน หายแล
ถ้าเป็นโรคริดสีดวงแห้ง หรือเป็นฝีในท้อง และซูบผอมไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำเป็นผง ละลายน้ำกินทุกวัน หายแล
ถ้าเป็นโรคริดสีดวง มือเท้าตาย ให้ร้อนไปทั้งตัว เวียนศีรษะ ตามืดมัว เจ็บทั่วตัว แลผิวตัวให้สากแห้ง อันชื่อว่าลมเพชฆาต 38 จำพวก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ เอาฟืน 30 ดุ้นต้ม ถ้าเดือดแล้วให้อึดใจยกลง เมื่อจะกินให้อึดใจกิน หายแล
ถ้าเจ็บตามตัว เมื่อยทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาแต่น้ำกิน
ถ้าช้างแทง กระบือชน หรือตกจากที่สูง หรือต้องคมอาวุธ ให้เอาเหงือกปลาหมอตำที่แผล หายแล
ถ้าจะให้เจริญอายุ ท่านให้เอาเหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ตำผงละลายน้ำผึ้งรับประทานทุกวัน
รับประทาน 1 เดือนจะหมดโรค จะมีสติปัญญาดี รับประทาน 2 เดือนจะเป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย
รับประทาน 3 เดือน ริดสีดวง 12 จำพวกหาย รับประทาน 4 เดือน ลม 12 จำพวกไม่มีเลย ตาแดงดังตาครุฑ หูได้ยินดังราชสีห์ รับประทาน 5 เดือน โรคภายในจะหมดสิ้น
รับประทาน 6 เดือน จะเดินได้วันละพันโยชน์ ไม่เหนื่อยเลย รับประทาน 7 เดือน ผิวจะผุดผ่องสวยงามดี
รับประทาน 8 เดือน เสียงเหมือนนกการะเวก รับประทาน 9 เดือน คมหอกดาบแทงไม่เข้าเลย
ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณค่าหนักหนา เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ก็ว่าได้ ถ้ากินอาหารหรือสิ่งใดผิดสำแดงเข้าไปจะไม่มีโทษเลย
ถ้าเป็นฝีที่รักแร้และที่ลำคอก็ดี ให้เอาเหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย น้ำมันงา น้ำมูตร ตำเคล้าเข้าด้วยกันแล้วเคี่ยวเป็นน้ำมันทา หายแล
ถ้าเป็นลมจับ ให้เอาเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน พริกไทย 2 ส่วน ตำผงละลายน้ำร้อนรับประทาน แก้ลม 8 จำพวกหาย
ถ้าจะประสานเนื้อให้สนิท ให้เอาเหงือกปลาหมอกับหัวสามสิบเท่ากัน ตำเอาน้ำประสานแผลทาหายสนิท
ถ้าตามืดมัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ กะเพราทั้ง 2 แสมสาร ใบทองหลางใบมน บอระเพ็ด เจตมูลเพลิง สิ่งละเท่ากันตำปิดกระหม่อม แล้วเอาเหล็กเผาไฟให้ร้อน เอามาวางทับเหนือยานั้น หายแล
จบตำราเพียงนี้
ตำรานี้เขียนโดยผู้คงแก่เรียนชาวพิษณุโลก ผ่านมาหลายร้อยปีมาแล้ว คงเขียนช่วงที่บ้านเมืองสงบสุข ช่วงสุโขทัยเป็นราชธานี การที่ท่านไม่ได้บรรยายลักษณะต้นยานั้นเพราะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขารู้จักกัน อยู่แล้ว และมีทั่ว ๆ ไป ในท้องถิ่นนั้น แต่ต้นเหงือกปลาหมอที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เป็นพันธุ์ไม้ริมทะเล ชอบดินเค็ม ชอบขึ้นตามริมน้ำคูคลองที่ชื้นแฉะ ก็เมืองพิษณุโลกนั้นอยู่ห่างทะเลหลายร้อยกิโลเมตร ในสมัยโบราณการคมนาคมไม่สะดวกนั้นเหงือกปลาหมอที่ว่านี้จะมีอยู่ที่เมือง พิษณุโลกได้อย่างไร ถ้าจะมีก็คงนับต้นได้ มีเพียงหมอยาเอาไปปลูกไว้เท่านั้น แต่หมอยาไทยโบราณไม่มีนิสัยปลูกยา เพราะของในป่ามีมากแล้ว
มีข้อให้สังเกตหลายอย่าง ตำราโบราณท่านว่า ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาขึ้นตรงทางหรืออยู่ที่ใด ๆ อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่ใบแหลมคมเหมือนหนาม แถมต้นสูงท่วมหัวเป็นพุ่มเป็นกอ และชอบขึ้นตามริมน้ำริมคลอง ใครจะไปเหยียบย่ำข้ามมันได้ ถ้าเป็นไม้ดังว่านี้ตำราต้องเขียนว่า หากพบต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงที่ใด ๆ อย่าได้ฟันทิ้งเพราะรังเกียจหนามแหลมคมของมันเลย มากกว่า
ท่านอ่านพบใช่ไหมครับ ตำราว่าเอาเหงือกปลาหมอมาตำ บางข้อก็บอกว่าให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำ ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่รู้จักกันดีทุกวันนี้มันตำได้ที่ไหน ต้นก็แข็ง ใบก็แข็ง แถมปลายใบเป็นหนามแข็งแหลมจนทิ่มมือได้เลือด มันมีลู่ทางสำหรับคนโบราณทางเดียวคือสับเป็นชิ้น ๆ แล้วต้มน้ำกินเท่านั้น
จึงเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เหงือกปลาหมอที่หลงใช้กันทุกวันนี้ แต่เป็นพืชหญ้าชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามที่ราบ แผ่ไปบนดิน ชอบขึ้นตามที่โล่งเตียน เช่นในนา สนามหญ้า ข้างทางเดิน ซึ่งผู้คนสามารถเดินข้ามเหยียบย่ำได้ง่ายดาย พืชนี้มีใบเหมือนเหงือกปลาหมอจริง ๆ ใหญ่เล็กก็เท่าเหงือกปลาหมอ ใบอวบแข็งนิด ๆ แต่อวบน้ำแข็งน้ำ ไม่ตำมือให้เจ็บ ชอบขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ แต่ถึงไม่มีน้ำชื้นแฉะก็ขึ้นได้งอกงาม มักพบในนาหลังช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าไม่มีใครรบกวนมันจะแผ่ออกไปเป็นพื้นพรมทีเดียว แต่สวย ๆ แบบที่ว่านี้ค่อนข้างหายาก ผู้เขียนไปมาทั่วประเทศพบอยู่ที่เดียวที่สวยเช่นนี้ แต่มันก็มีอยู่ทั่วประเทศ แต่พบที่นั่นนิดที่นี่หน่อย จะเก็บมาทำยาทีละมาก ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ผมรู้จักต้นยานี้เพราะพระอาจารย์อุดม ซึ่งเชี่ยวชาญในสมุนไพรเป็นผู้พาไปรู้จักต้น และอธิบายถึงความผิดพลาดของต้นยาที่ใช้กันอยู่ให้ฟัง ท่านว่าเคยใช้แบบนี้ได้สรรพคุณตรงตำราโบราณกล่าวไว้ทุกประการ เมื่อผมมาค้นในตำราก็เห็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้จริง ๆ จึงขอฝากต้นยานี้ให้ท่านผู้อ่านไปหามาทำยาเถิด บางแห่งเรียกว่า หญ้าเกล็ดหอย


http://www.vichanum.com/viewthread.php?tid=1016

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ