วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

อินเดียทำถนนจากพลาสติกรีไซเคิลกันแล้ว



นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮินดู พาราณสี พบวิธีกำจัดถุงพลาสติก ที่กำลังเป็นขยะเกลื่อนกลาดอยู่ตามหลายชาติในขณะนี้ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ด้วยการนำไปใช้ทำถนนที่ทนแดดทนน้ำและคงทนถาวร

ศาสตราจารย์ วิชาเคมีของมหาวิทยาลัย อาจารย์ราม อัดหาร์ สิงห์ กล่าวว่า เราสังเกตพบในการวิจัยว่า ถุงพลาสติกจะช่วยสร้างความคงทนให้กับถนนได้อย่างมหาศาล โดยกำลังจะไปขอจดสิทธิบัตรไว้อยู่

“ในการวิจัย เรานำเอาถุงพลาสติกคลุกกับน้ำมันดินแล้วไปทำให้ร้อนด้วยเครื่อง แล้วจึงนำไปผสมกับเศษหินและวัสดุอื่น สำหรับการสร้างถนน ปรากฏว่าได้ผลดี”

เท่า ที่เคยก่อสร้างกันมา ถนนที่สร้างด้วยน้ำมันดินและหินจะทรุดลงเร็วเมื่อโดนน้ำเข้าไปขัง เนื่องจากน้ำมันดินเป็นอินทรีย์สาร ไม่อาจจะเข้ากับหินซึ่งเป็นอนินทรีย์สารได้ดี พอถูกน้ำขังก็จะแตกร้าวและเกิดเป็นหลุมเป็นบ่อ

อาจารย์สิงห์อธิบาย ว่า “เมื่อถุงพลาสติกอันเป็นอินทรีย์สารตามธรรมชาติโดนความร้อน ก็จะกลายเป็นชั้นเคลือบหินเอาไว้ หินซึ่งเป็นอนินทรีย์สาร เมื่อถูกอินทรีย์สารหุ้มห่อเอาไว้ ก็จะคลุกกับน้ำมันดินเข้ากันได้ดี”

นัก วิจัยช่วยอธิบายวิธีการเสริมว่า การนำเอาถุงพลาสติก น้ำมันดินกับเศษหินมาคลุกเข้าด้วยกันนั้น จะต้องมีสัดส่วนเฉพาะ และเมื่อไปทำให้มันร้อนอุณหภูมิสูงระหว่าง 120-130 องศาเซลเซียส ถุงพลาสติกบางๆ ก็จะก่อตัวเป็นชั้นเหนือเศษหิน และจะ ป้องกันถนนไม่ให้น้ำซึมลงไป ไม่ทำให้เกิดเป็นร่องให้น้ำลงไปขังได้.

............................................................................................


ข้าง บนเป็นข่าว แนวคิดง่ายๆพลาสติกชนิดเทอโมพลาสติกจะละลายได้เมื่อโดนความร้อนระดับหนึ่ง
แต่พลาสติกที่เอามาทำได้ก็จะเป็นเฉพาะพลาสติกชนิดเทอโม เท่านั้น (thermoplastic)

ส่วนพลาสติกแบบเทอร์โมเซ็ทติ้ง (thermosetting plastic) พลาสติกชนิดนี้เมื่อหลอมตัวเป็นรูปแบบใดจะเป็นรูปแบบนั้นอย่างถาวร จะเอามาหลอมใช้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ได้ คือหลังจากพลาสติกเย็นจนแข็งตัวแล้ว จะไม่สามารถทำให้อ่อนได้อีกโดยใช้ความร้อน หากแต่จะสลายตัวทันทีที่อุณหภูมิสูงถึงระดับ แบบพวกเมลามีนพวกนั้นแหละ



พอดีเห็นข่าว นี้ก็เลยคิดว่าพวกเศษพลาสติกหรือเศษไม้ต่างๆ หรือแม้กระทั่งโฟม ที่ร้านของเก่าไม่ยอมรับซื้อ พลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้ เอามาบดให้เป็นชิ้นเล้กๆแล้วนำมาผสมปูนร่วมกับทราย หรือใช้ผสมดินทำบ้านดินก็น่าจะดี จะเอาอะไรไปผสมก็คงแล้วแต่การใช้งาน อย่างผนังต้องการความเป็นฉนวน ก็คงผสมเศษโฟม



ข้าง บนคือเครื่องบดพลาสติก

ข้างล่างคือเครื่องย่อยไม้



เศษฟางข้าว เศษอินทรีย์สารต่างๆที่แห้งแล้ว ก็น่าจะนำมาผสมปูน ทำเป็นอิธบล็อค แบบอิธ รพช.อะไรแบบนั้นได้ที่ใช้ซีเมนต์ผสมดินแดงอัดออกมา อาจเป็นแผ่นปูพื้น อะไรแบบนี้ที่ต้องโดนแดดโดนฝน หรือพวกไม้เทียมก็ได้

อยากให้เอาไป ใช้ ดีกว่าทิ้งหรือเผา

ไปค้นๆดูปี2008 เด็ก ม.ปัตตานีก็ทำกระเบื้องยาง จากยางรถยนต์เก่า ทำให้เป็นผงแล้วผสมกับน้ำยางครับ แล้วฉีดทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคา คล้ายๆแป้นเกล็ดทางภาคเหนือ



ถนน ในโครงการไทยเข้มแข็งก็มีการเอายางมะตอยเก่ามาบดผสมกับคอนกรีต อันนี้เข้าท่าดี ดีกว่าทิ้งเปล่าๆ

อยากให้มองขยะแล้วเอากลับมาใช้แบบที่ไม่ต้องใช้พลังงาน มาก เอาคุณสมบัติย่อยสลายยากของเค้ามาใช้

เช่นเก้าอี้สนาม หินเทียม ปะการังเทียม สะพาน ฯลฯ

ช่วยกันคิดหน่อยเน้อ

Sex Fail....ถูกแอบถ่ายก็Failแล้วนะ แต่ดันFailหนักกว่านั้นอีก(18+)

Sex Fail....ถูกแอบถ่ายก็Failแล้วนะ แต่ดันFailหนักกว่านั้นอีก(18+)


..เห็นแล้วเครียดแทนเจงๆ..เฮ้อ!!!
แน๊..ยังมายิ้มอีก





รวมตัวเอกเกมและการ์ตูนเวอร์ชั่นเสมือนจริงและคลิปสร้างJessica Rabbit ที่มีต้นแบบจากแองเจลิน่า โจลี่

รวมตัวเอกเกมและการ์ตูนเวอร์ชั่นเสมือนจริง

และคลิปสร้างJessica Rabbit ที่มีต้นแบบจากแองเจลิน่า โจลี่




2548699814_6b86817c89


2704678119_43739a93b0


dragonball-untooned


untoons_09


kirby


bowserheadergr


PEACH_UNTOON_T152


untoons_07


untoons_03


untoons_08


なると


link-untooned


snake-realfinal



1


3


2


12


10


13


14


vingador-untooned2


アントゥーンメイキング映像


http://karapaia.livedoor.biz/archives/51685614.html

“รัก...แฟน หวง...ชู้ เอ็นดู...กิ๊ก”

เดอะ กิ๊ก” (The Gig) : รัก...แฟน หวง...ชู้ เอ็นดู...กิ๊ก

คอลัมน์ น่า รู้สู่สุขภาพจิตดี

นางสาวยุวพร พลรักษ์ นักจิตวิทยา

สนับสนุนโดย นางศุภวรรณ นิลรัตน์

ผู้อำนวยการศูนย์ สุขภาพจิตจังหวัดตรัง

ขอบคุณ ภาพจากอินเทอร์เน็ต (ไม่เกี่ยวกับในเรื่อง)

ด้วยสังคมที่ทำให้ทั้งหญิงและชายมีความเสมอภาคกัน มากขึ้น มีความเท่าเทียมทั้งด้านการศึกษา หน้าที่ การงาน ตลอดจนการแสดงออกในด้านต่างๆ ได้อย่างเปิดเผย จึงส่งผลให้ปัจจุบันเกิดวัฒนธรรมใหม่ขึ้น นั่นคือ รัก...แฟน หวง...ชู้ เอ็นดู...กิ๊ก

จะเห็นว่าทุกวันนี้พฤติกรรมการมีกิ๊กขยายวงกว้างไป สู่คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น คนหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ทำงาน หรือแม้กระทั่งคนที่มีครอบครัวแล้ว คนแต่ละคนจะถูกตา...ต้องกาย...ต้องใจถึงขั้น นอกใจ อีกฝ่ายหนึ่งได้นั้นมาจากการได้เห็นรูปร่าง หน้าตา บุคลิกลักษณะของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสำคัญ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งดึงดูดในการนอกใจได้เป็นอย่างดี

ณ วันนี้ เราคงต้องยอมรับว่า การเป็นกิ๊กและมี กิ๊ก พบมากในสังคม เพราะคนจำนวนมากให้การยอมรับการมีกิ๊กและจะมองคนที่มีกิ๊กหลายๆ คนว่าเท่ห์และถ้ายิ่งต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและเร้าใจ โดยปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุนำไปสู่การมีกิ๊กของหลายๆ คน บางเหตุผลอธิบายถึงการมีกิ๊กได้ว่า เกิดจากการเลียนแบบ เนื่องจากผู้ชายมีสิทธิในการมีแฟนได้หลายๆ คน และในเวลาเดียวกันความเปลี่ยนแปลงไปจึงทำให้ผู้หญิงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพื่อ ต้องการ ความเสมอภาค เพียงเหตุผลที่ว่า...เมื่อผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ต้องทำได้ เช่นกัน

คำว่า กิ๊ก อาจมีความหมายในหลายลักษณะซึ่งในกลุ่มวัยรุ่นมีความคุ้นเคยและรู้จักกันดี ด้วยนัยสำคัญดังนี้

1. กิ๊กไม่ใช่ชู้แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิก

2. กิ๊กห้าม หึงหวงแต่ห่วงกันได้

3. กิ๊กเธอ กิ๊กฉัน กิ๊กกันมันส์ดี

ด้วยนัยสำคัญเหล่านี้บ่งบอกว่า การเป็นกิ๊กไม่มีสิทธิ์ผูกพัน แต่ทำไมหลายคนต่างยอมและเลือกที่จะมีกิ๊กและเป็นกิ๊ก อาจเพราะการไม่ผูกพันทำให้เกิดความเป็นตัวของตัวเอง ให้เกียรติตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ ที่สำคัญเพิ่มศักยภาพในการยอมรับจากผู้อื่นว่า มีหน้าตาดี เพราะเป็นคนกิ๊กเยอะ

ด้วยกิ๊กเปรียบเสมือนความท้าทาย ทำให้ชีวิตมีสีสัน ไม่จำเจ ท่ามกลางภาวะปัจจุบันที่น่าเบื่อ สับสนวุ่นวาย ให้กลายเป็นความสดใสซาบซ่าส์ ฉะนั้นการมีกิ๊กเหมือนเป็นตัวเสริมกำลังใจ จึงไม่แปลกที่จะทำให้คนมีกิ๊กหรือกำลังกิ๊กกันมีความสุข แต่สิ่งที่ตามมาและร้ายแรงหรืออาจเรียกว่าเป็นผลกระทบก็คือ การเพิ่มจำนวนของคนเหงามากกว่าเดิม และในคนกลุ่มนี้จะเกิดความเศร้า ซึม อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ปัญหาของการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย หรือ Free sex ซึ่งเป็นอันตรายทั้งเรื่องของโรคติดต่อและการขัดต่อ วัฒนธรรมอันดีงามในสังคมไทย

ดังนั้น ในสังคมเช่นนี้ หากหนีไม่พ้นกันจริงๆ การมีกิ๊กหรือคนที่กำลังจะมีกิ๊ก ต้องมีการกำหนดขอบเขตและจุดยืนของการมีกิ๊กอย่างชัดเจน สอดคล้องกับค่านิยม สังคมและวัฒนธรรมไทย ด้วยเพื่อดำรงไว้ซึ่งความดีงาม และเป็นแบบอย่างที่ดีในอนาคตแก่คนรุ่นลูก รุ่นหลานสืบไป.

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ข้อ ความเตือนใจคนไทย ใน ธนบัตรฉบับราคายี่สิบบาท


ข้อ ความเตือนใจคนไทย

ในธนบัตรฉบับราคายี่สิบบาท








ถ้าคนไทยทุกคน ถือว่าตนเป็นเจ้าของชาติบ้านเมือง


และ ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต


และถูกต้องตาม ทำนองคลองธรรมแล้ว


ความทุกข์ยากของบ้านเมืองก็จะ ผ่านพ้นไปได้


พระราชดำรัส


พระบาทสม เด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล


พระอัฐมรามาธิบดินทร


.. ๒๔๖๘-๒๔๘๙









จะมีคนไทยสักกี่ คน ที่จะไตร่ตรองและพินิจพิจารณาถึงสิ่งที่

ปรากฎอยู่บนกระดาษใบนี้


เงินมีค่า นอกจากคุณค่าและตัวราคาของมันแล้ว


สิ่งที่ปรากฎอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นยังมีอะไรที่ดี

มีคุณค่าที่ควรแก่ การเทอดทูญ




อยากให้ลองหยิบมา ดูและ อ่านบ้าง ให้ความสนใจ

และคิดตามอย่างใจเย็น


เผื่อ....จะ ดลบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนหยุด


หยุดเพื่อคิด ว่าตอนนี้บ้านหลังใหญ่ของเราเป็นอย่างไร


ทำอย่างไรจะทำให้ผืนแผ่นดินที่เราอยู่นี่ สงบสุขเหมือนดั่งที่เคยเป็น.


แม้เราอาจจะไม่สามารถ ช่วยบ้านเมืองในยามวิกฤตนี้ได้


แต่เราอยากพูดว่า ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม คุณก็คนไทยด้วยกัน


พูดภาษาเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน รักประเทศไทยเหมือนกัน

อยากให้ทุกคนรักกัน



พระองค์พระราชทานให้ใส่ไว้


.. แต่ มีคน ไทยสักกี่คนจะมาอ่าน ???


เงินแบงค์ 20 ที่มี ค่ามากกว่า 20 บาท



------------------------------------------------------

คัดตัว เชียร์ลีดเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอล สู้ตายกันเลยทีเดียว

คัดตัว เชียร์ลีดเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอล สู้ตายกันเลยทีเดียว

คัดตัว เชียร์ลีดเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอล สู้ตายกันเลยทีเดียว

คัดตัว เชียร์ลีดเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอล สู้ตายกันเลยทีเดียว

คัดตัว เชียร์ลีดเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอล สู้ตายกันเลยทีเดียว

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

โซดอม และ กอมเมอร์ราห์ (Sodom and Gommorah) นครแห่งบาป

โซดอม และ กอมเมอร์ราห์ (Sodom and Gommorah)
นครแห่งบาป




เมื่อ เอ่ยถึงนครแฝด ทั้งสองนี้คงมีหลายท่านที่คุ้นหูและผ่านตากันดีกับเมืองที่เต็มไปด้วยความ ชั่ว และบาปหนาจนเกินกว่าที่แผ่นดินจะแบกรับได้ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงฝังเมืองนี้ไว้ใต้ธรณี ตามพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลนั้น อิบรอฮีม(อับราฮัม) ได้ส่ง “ลูฏ”(โลต) หลานชายของท่านไปยังเมืองโซดอมเพื่อตักเตือนชาวเมืองให้เห็นถึงผลร้ายของ ความชั่วดังกล่าวและละเว้นจากพฤติกรรมนี้เสียแต่ความพยายามของลูฏก็ไม่ประสบ ผลสำเร็จ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีและดูเหมือนว่ายิ่งนานวัน ศีลธรรมของผู้คนในเมืองโซดอมจะยิ่งเสื่อมทรามลงทุกวัน (โปรดดูวิดีโอสารคดี เรื่อง Sodom and Gomorrah ท้าย entry นี้ประกอบ)
ภาพ ชาวเมืองโซดอมที่มัวเมาในความบาปและความชั่ว
ความชั่ว และบาปทุกชนิดสุดที่จะบรรยายได้ล้วนมีอยู่ในเมืองโซดอมและกอม เมอร์ราห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมเสพกามวิปริตต่างๆ ลักร่วมเพศระหว่างชายด้วยกันเรียกได้ว่าสมัยนั้นเมืองทั้งสองนี้เป็นสรวง สวรรค์ของเกย์เลยทีเดียวนอกจากเสพกันเองในหมู่ชาวเมืองแล้ว หากมีพ่อค้าหรือผู้สัญจรผ่านไปมาจะถูกนำตัวไปข่มขืนอย่างทารุณแต่นั่นย่อม หลังจากที่ชาวเมืองได้รุมทึ้งขโมยสินค้าและเงินทองของคนเหล่านั้นเสียก่อน ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมที่ทำให้เมืองนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ คือความนิยมในเรื่องรักร่วมเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกันจนชื่อของเมืองนี้ได้กลาย เป็นที่มาของคำว่า “โซโดมี” (Sodomy) ซึ่งหมายถึงการรักร่วมเพศนั่นเอง
เมื่อ ไม่มีอำนาจใดสามารถยับยั้งความชั่วได้ ลูฏจึงได้วิงวอนต่อพระเจ้าให้ลงโทษผู้คนในเมืองโซดอมเพื่อมิให้ความชั่วของ คนในเมืองนี้แพร่หลายออกไปยังดินแดนอื่น ดังนั้นพระเจ้าจึงตัดสินใจทำลายเมืองทั้งสองนี้ พระองค์ส่งทูตสวรรค์ลงมาแจ้งลูฏให้พาครอบครัวหนีภัยไปจากเมืองโซดอมโดยด่วน เวลาหนีก็ให้เร่งไปอย่างเร็วที่สุดอย่าได้หยุดหันหลังมองไปทางเมืองที่กำลัง ระเบิดเป็นอันขาด.... เรื่องนี้ภริยาของลูฏไม่เชื่อ อาจเป็นเพราะนางเป็นสตรีจึงมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าบุรุษ ได้หันกลับไปมองเมืองที่เพิ่งผละจากมา ผลก็คือ ร่างของนางกลายเป็นเสาเกลือ (Pillar of Salt) ติดตรึงอยู่ ณ ที่นั้น และยังคงปรากฏสืบมาจนถึงเดี๋ยวนี้

นครแห่งบาปล่มสลาย Lot ออกจากเมือง เสาหินเกลือ Lot's Wife


ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของ โซดอมและกอมเมอร์ราห์นั้น อยู่ในบริเวณที่เรียกว่าหุบเขาซิดดิม (Siddim) ใกล้กับทะเลแห่งความตาย "Dead Sea" ซึ่งเป็นความลับอันนน่าสะพรึงกลัวของโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะคุณภาพพิเศษอันไม่เหมือนใครของน้ำในทะเลแห่งนี้ ชาวโรมันเรียกว่า "ทะเลยางมะตอย" (Sea of Asphalt) ชาวกรีกกล่าวว่า เหนือทะเลเต็มไปด้วยแก๊สพิษที่เป็นอันตราย ส่วนชาวอาหรับเล่าว่าเป็นทะเลอาถรรพณ์ นกตัวไหนบินข้ามก็ตกลงมาตายหมด...ทะเลเด้ดซีครองความลับอันยิ่งใหญ่มานานจน ถึงปี ค.ศ. 1848 นักธรณีวิทยาจึงสำรวจดูรู้ว่า น้ำในทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยเกลือ ซึ่งทำให้มีคุณภาพพิเศษแตกต่างจากที่อื่น เช่นวัตถุที่ตกน้ำจะไม่จม เป็นต้น... การค้นพบความลับของทะเลเด้ดซีนำไปสู่ความลับอย่างอื่น นั่นคือ รอบๆ บริเวณทะเลสาบ จะมีเกลือจับก้อนหินก้อนดินกลายเป็นโขดเขาเกลือขึ้นเรียงรายอยู่เป็นอันมาก หนึ่งในจำนวนนี้ได้แก่ เสาเกลือ ที่มีรูปร่างมองผาดๆ คล้ายสตรียืนอยู่... นี่แหละที่มาของตำนานภริยาลูฏผู้กลายเป็นเสาเกลือ ไปตามความในพระคัมภีร์
dead_sea_sw2
ที่ ตั้งของเมือง Sodom และ Gomorrah ที่ค้นพบ

นอกจากนี้ การค้นพบความลับของทะเลสาบเด้ดซี ยังนำไปสู่ความสนใจในทางโบราณคดีอีกด้วย ศาสตราจารย์ ดับบลิว เอฟลินซ์ นักธรณีวิทยาใหญ่เกิดนึกถึงเมืองชื่อ โซดอม กอมเมอร์ราห์ในพระคัมภีร์ได้ว่า เคยตั้งอยู่ในหุบเขาซิดดิมนี้แหละ ร่วมกับเมืองอื่นๆ อีก 3 เมือง คือ โซอาร์, เซบัวอิม และ แอดมาห์... เมื่อค้นพบทั้งทะเลเด้ดซี, แม่น้ำจอร์แดน และหุบผาซิดดิม แล้วก็น่าจะพบซากเมืองในพระคัมภีร์เหล่านี้ (ถ้ามีอยู่จริง) จึงได้ทำการค้นหาเป็นการใหญ่ พบว่าด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเด้ดซีมีซากเมืองโบราณที่ชาวอาหรับเรียก ว่า "ไรอาร์" ตามชื่อเมืองในพระคัมภีร์อยู่ด้วยจริงๆแต่จากการขุดสำรวจทางโบราณคดี พบว่าซากเมืองไรอาร์เป็นเมืองใหม่เกิดขึ้นในสมัยกลางนี่เอง นักโบราณคดีจึงทำการค้นหาซากเมืองในพระคัมภีร์ต่อไป
dead_sea2 dead_Sea4
แผนที่เมืองโบราณทั้ง 5 ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ความพยายามนำมาซึ่ง ความสำเร็จ และเป็นความสำเร็จที่ยืนยันความถูกต้องบางประการของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในฐานะ ตำราประวัติศาสตร์ได้ด้วย นั่นคือ ถ้าจะไปค้นหาซากเมืองโซดอมและกอมเมอร์ราห์บนพื้นดินก็หาไม่พบ เพราะจมลงไปอยู่ใต้ผิวทะเลเด้ดซี โซดอมและกอมเมอร์ราห์จมลงไปใต้น้ำด้วยแรงระเบิดจริง แต่ไม่ใช่ระเบิดของทูตสวรรค์ตามข้อความในพระคัมภีร์ ทว่า เป็นแรงระเบิดของธรรมชาตินี่เอง นั่นคือโซดอมและกอมเมอร์ราห์จมน้ำเพราะแผ่นดินไหว


sodomgamorrah


การค้นพบร่องรอยของเมืองโดยนักธรณีวิทยาและนัก โบราณคดี

นักธรณีวิทยาที่ ทำการสำรวจดินแดนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า ระหว่างที่นั่งเรือสำรวจทะเลเด้ดซีนั่นเอง ในวันที่อากาศดี น้ำใสเป็นพิเศษก็สามารถมองเห็นซากปรักหักพังใต้น้ำได้รำไร.... ซากของโซดอมและกอมเมอร์ราห์นั่นเอง ที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่ได้ก็เพราะเกลือในทะเลช่วยรักษาไว้ให้คงรูปเดิม จากการคำนวณอายุของซากเมืองใต้ทะเลพบว่ามันมีอายุย้อนหลังไปสมัยปี 1900 ก่อนคริสตกาล....ก็สมัยเดียวกับลูฏและอับราฮัมนั่นเอง....โซดอมและกอม เมอร์ราห์จึงมีอยู่จริงๆ ในยุคสามัยเดียวกับบุคคลในพระคัมภีร์


sodom2 sodom3

หลักฐานทางธรณีวิทยา

การที่แผ่น ดินซึ่งเดิมเคยอยู่เหนือน้ำแล้วอย่ๆเลื่อนต่ำลงจนจมลงไปใต้น้ำนั้นไม่ใช่ เรื่องแปลกประหลาดอะไร เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก ส่วนหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (หรืออาระเด็นตามฉบับคำแปลภาษาไทย) ก็ค่อยๆ เลื่อนลดลงไปอยู่ใต้ทะเลเด้ดซีเหมือนกัน แต่ในกรณีของโซดอมและกอมเมอร์ราห์ไม่ได้เกิดจากการค่อยๆ เลื่อนลงไปใต้น้ำ แต่นักธรณีวิทยาได้คำนวณว่าเกิดจากแผ่นดินไหวในบริเวณนี้อย่างรุนแรงจน กระทั่ง "กำมะถันและไฟจากพระยะโฮวาลงมาจากฟ้าตกที่เมืองซะโดมและเมืองกะโมรา พระองค์ได้ทรงทำลายเมืองเหล่านี้ คือแถบที่ราบนั้นทั้งหมดและพลเมืองทั้งสิ้นและบรรดาพืชพันธุ์ที่งอกขึ้นจาก แผ่นดินให้พินาศไปสิ้น" ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้ว

sodom4 sodom5

หลักฐานทางธรณีวิทยา

แจ๊ค ฟินนิแกน นักธรณีวิทยาคนสำคัญชาวอเมริกันกล่าวไว้ในปี ค.ศ. 1951 ว่า ความพินาศของ "เมืองบนที่ราบ" อันหมายถึงโซดอมและกอมเมอร์ราห์นี้เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งตามติดมา ด้วยการระเบิดของแร่ธาตุใต้ดิน และอสุนีบาตอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้แก๊สธรรมชาติพวยพุ่งขึ้นกระทบสายอสุนีบาตเกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้น ทำลายเมืองทั้งสองราบคาบลง แล้วทรุดลงไปใต้ทะเลเด้ดซี(นึกภาพแล้วขนพองสยองเกล้ามากยิ่งกว่ารถแก๊ส 1000คันระเบิดอีก)

นักธรณี วิทยาคนอื่นได้สำรวจเพิ่มเติมแล้วพบว่าใต้ทะเลแถวๆ นั้นมีภูเขาไฟด้วย จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ภูเขาไฟอาจระเบิดซ้ำเติม ทำให้มองเห็นภาพ "กำมะถันและไฟ" ซึ่งพวยพุ่งจากใต้ดินสูงขึ้นไปในอากาศแล้วหวนตกลงมาทำลายชาวเมืองอีก ครั้งออกจะเป็นภาพที่น่าสยดสยองในสายตาของผู้พบเห็นในยุคนั้นยิ่งนัก จนไม่รูจะเปรียบเทียบกับอะไรดี นอกจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า


หาก ไม่ได้นักธรณีวิทยาและนักโบราณคดีค้นคว้ากันอย่างใกล้ชิด เมืองในพระคัมภีร์ทั้งสองก็คงเป็นเมืองที่จมอยู่ในเงามืดตลอดกาล ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง เพราะไม่มีซากเหลือให้เห็นอีกเลย การค้นคว้าหาหลักฐานข้อเท็จจริงตามพระคัมภีร์จึงต้องพึ่งวิทยาการสมัยใหม่ อยู่มากแต่เมื่อค้นคว้าแล้วก็ไม่ผิดหวัง คัมภีร์ไบเบิ้ลบางตอนจึงสามารถใช้เป็นประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ทีเดียว อันการที่เมืองถล่มทลายลงไปใต้ดินนี้ คนโบราณเขาบันทึกไว้เกือบทุกชาติ แสดงว่าในอดีต เคยมีเมืองถล่มมาแล้วทั่วโลกนับแต่ทวีปแอตแลนติสเป็นต้นมา ในพระเวทของอินเดียก็กล่าวถึงเมืองทวารกาที่จมลงไปใต้ทะเล

อ้างอิง : arkdiscovery.com ,หนังสือ เปิดนครในตำนาน โดย ไดโนเสาร์ (แก่)


คัดลอก จาก: http://cid-ebb8f3cb9f8e21ef.spaces.live.com/blog/cns!EBB8F3CB9F8E21EF!702.entry

โมเสสพาอิสราเอลข้ามทะเลแดง

โมเสสพาอิสราเอลข้ามทะเลแดง

โมเสสพาอิสราเอล ข้ามทะเลแดง

การค้นหาร่องรอย ของประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่ ยิ่งใหญ่ และอัศจรรย์ จนยากที่จะเชื่อ คน 2ล้านคน ข้ามทะเลที่มีความลึก 800 เมตร ไกลกว่า 18 กิโลเมตร พร้อมกับการไล่ติดตาม ของกองทัพฟาโรห์ แห่งอียิปต์ รถม้ากว่า 20,000 คัน ที่ต้องถูกทำลายอยู่ใต้ท้องทะเล เรามาติดตามการสำรวจ ครั้งนี้ด้วยกัน




สถานที่ตั้ง เดิม


ในอดีต มีเส้นทางที่ถูกค้นพบ จากพระคัมภีร์อพยพ ช่วงเวลาที่อิสราเอล หนีออกจากประเทศอียิปต์ พวกเขาน่าจะอยู่กันเป็นบริเวณ ทางเหนือของอ่าวสุเอซ และเดินทางออกจากอียิปต์

เหตุการณ์ข้ามทะเลแดง มีหลายคนคิดว่า มีน้ำตื้น ซึ่งในขณะนั้นอาจจะเป็นช่วงที่กระแสน้ำ พัดผ่านไปพอดี อาาจะเป็นเหตุการณ์ น้ำขึ้นน้ำลง บริเวณดังกล่าวไม่น่าจะเป็น สถานที่ที่ถูกล่าวในพระคัมภีร์ได้ เพราะว่าไม่ตรงกับที่พระคัมภีร์บรรยายไว้ และบริเวณน้ำตื้น ไม่น่าจะเป็นบริเวณที่สามารถจมกองทหารทั้งหมดของอียิปต์ได้ ในขณะที่พวกเขาก็เดินนำหน้ากองทัพอียิปต์ไป ยังฝั่งตรงข้าม

ภายหลังจากการข้ามทะเลแดง พระคัมภีร์ไบเบิล กำลังบอกกับเราว่า พวกเขาเดินทางต่อไปยัง ภูเขาของพระเจ้า หรือภูเขาซีนาย ที่อยู่ในดินแดน มีเดียน (Midian) มีเดียน ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เราเรียกว่า คาบสมุทรซีนาย ในวันนี้ มันอยู่ใน ซาอุดิอาระเบีย และสามารถพบได้ในแผนที่ส่วนใหญ่ ที่ตั้งภูเขาแต่เดิม ถูกคนพบโดย คนของพระเจ้าคอนสแตนติน ซึ่งเป็นผู้ค้นพบ สถานที่หลายๆแห่ง ที่น่าเชื่อถือ ตามพระคัมภีร์ อย่าเช่นสถานที่ประสูติ ของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ศตวรรษที่4 อยู่รอบๆดินแดน ปาเลสไตน์ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ทางโบราณคดี ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายผู้คน ตลอด40ปี ของ พระธรรมอพยพ ที่เกิดขึ้น ณ คามสมุทรซีนายเลย




• นักโบราณคดีจำนวนมากไม่เชื่อถือตาม พระคัมภีร์ไบเบิิล ว่าถูกต้องต้องแม่นยำ ในฐานะพระคำของพระเจ้า เกี่ยวกับเหตุการณ์ ในการอพยพของชนอิสราเอล พวกเขาสงสัย เกี่ยวกับข้อความที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ เพราะว่ามีหลักฐานทางโบราณคดีไม่เพียงพอ และไม่มากพอที่จะเชื่อ

• สถานที่ข้ามทะเลแดงที่ถูกพบโดย Ron Wyatt
Ron Wyatt ค้นหาตามการบันทึกของพระคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อว่าชาวอิสราเอล อาศัยอยู่บริเวณ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์(Nile) หรือ พื้นที่ของ Ramses และ ที่ตั้งค่ายแรก น่าจะอยู่ทางเหนือ ของ อ่าวซูเอซ(Gulf of Suez) หรือ Succoth เป็นที่ของการเริ่มต้นเดินทางใน พระธรรมอพยพ นี้เป็นจุดแรก ที่พวกเข้าตั้งค่าย จนกระทั่งเดินทางต่อไปตามพื้นที่ทุรกันการ ของทะเลแดง หรือที่วันนี้เราเรียกว่า คาบสมุทรซีนาย และการพจญภัย ที่อ่าวอกาบา(Aqaba) ( Iพงศ์กษัตริย์ 9:26 เรียกบริเวณนี้ว่าทะเลแดง)


ถิ่นทุรกันดารที่พวกเขาติด อยู่



ภาพ: Ron Wyatt ยืนอยู่บริเวณ Wadi Watir ที่นำสู่อ่าวอกาบา


เมื่อการเดินทาง เข้าสู่ดินแดนรกร้างของแถบทะเลแดง ในอพยพ 13:18 เพื่อหลลีกเลี่ยงกองทัพฟาร์โรห์ พระเจ้าบอกโมเสส ให้ลงไปทางทิศใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งตรงไปตลอด ทางเลียบน้ำ หรือ หุบเขา(ลักษณะเป็นแบบcanyon) ที่เรียกว่า Wadi Watir บันทึกใน อพยพ 14:3 ( ฟาโรห์ จะกล่าวถึงชนชาติอิสราเอล ว่า 'พวกเขาติดอยู่บนบก ถิ่นทุรกันดารนั้นกั้นเขาไว้แล้ว')


ภาพ: Wadi Watir เส้นทางสู่ การข้ามทะเลแดง ชาวอิสราเอลคิดว่า โมเสสตัดสินใจผิดที่นำพวกเขามายังเส้นทางนี้


หาดไหนที่เป็นจุดข้ามทะเลแดง

เมื่อมาถึงชายหาด ชาวอิสราเอล ก้เหมือนติดกับ เหมือนกับว่า พวกเขาไม่สามารถย้อยกลับได้เสียแล้ว เพราะว่า ไม่สามารถตรงกลับไปยังทิศเหนือได้ ป้อมปราการของอียิปต์อยู่นั้นเสียแล้ว อิยิปต์ยกทัพตามมา (ป้อมPihahiroth ยังคงอยู่จนทุกวันนี้ )



ภาพ : ป้อมPihahiroth

และยังเต็มไปด้วภูเขามากมาย ขวางพวกเขาอยู่ ทางทิศใต้ ภูเขาพามาสู่ที่ทะเล และไม่มีทางผ่านอีกแล้ว (เราสามารถที่จะเห็นชายหาด และภูเขานี้ได้ในปัจจุบัน) ผู้คนต่างโกรธโมเสสที่นำเขามาสู่ พื้นที่ที่ถูกติด และไปไหนไม่ได้อีกแล้ว และจะต้องตายอย่างแน่นอน



Ron มองหาในแผนที่ถึงบริเวณไหนที่จะสามารถที่จะรองรับคนได้ 2ล้านคน สามารถที่จะรองรับ ชาวอิสราเอลทั้งหมดได้ และพบเพียงพื้นที่เดียวเท่านั้น "Nuweiba Egypt" ชายหาด ที่Nuweiba เป็น ชายหาดที่ใหญ่มาก และมากพอที่จะรองรับคนของโมเสสได้ ปััจจุบันนเราจะได้พบกับโรงแรม และหมู่บ้านเล็กๆที่นั้น


ภาพ: หาดNuweiba และโรงแรม

เสาหิน แกรนนิตของซาโลมอน

ในปี 1978 Ron Wyatt และ ลูกชายของเขา 2คน เดินทางไปยังหาด Nuweiba เพื่อดำน้ำสำรวจอ่าว ค้นหาพวกอะไหล่รถรบในสมัยนั้น หรืออะไรก็ได้ ที่น่าจะเป็นหลักฐาน ที่สามารถบอกได้ว่า สถานที่นี้เป็นที่จริงที่เกิดเหตุการณ์ ข้ามทะเลแดง



ที่นั้นรอน พบหินแกรนนิตสีแดง สูง 17 ฟุต เป็นเสาแบบฟินีเซีย (Phoenician) เสาจมอยู่ใต้น้ำ Ron Wyatt บอกว่ามันแสดงให้เห็นว่า ถึงกองทัพอิสราเอล และการอาศัยอยู่ของชาวอิสราเอลในเวลานั้น มันทำด้วคอนกรีต ภายหลังได้ค้นพบเสาในลักษณะเดียวกันอีกใน จุดอื่นของอ่าว ในซาอุดิอาราเบีย และมีข้อความภาษาฮิบบรู จารึกไว้ถึง อียิปต์ การตาย น้ำ ฟาโรห์ พระเยโฮวา และซาโลมอน

กษัตริย์ซาโลมอน สร้างเสาหินนี้ 400ปีหลังจาก เหตุการณ์อัศจรรย์การข้ามทะเลแดงบนพื้นแห้งๆ ท่าเรือของโซโลมอน อยู่ทางทิศเหนือ ของอ่าวอกาบา ที่Elath (I พงศ์กษัตริย์ 9:26) และเขาคุ้นเคยกับ การข้ามทะเลแดงมาก เพราะว่ามันเป็นพื้นที่ของเขา พระคัมภีร์บันทึก เกี่ยวกับเสานี้ใน อิสยาห์ 19:19 ( ในวันนั้นจะมี แท่นบูชาแท่นหนึ่ง แด่พระเจ้าในท่ามกลาง แผ่นดินอียิปต์ และมี เสาศักดิ์สิทธิ์ แด่พระเจ้า ที่พรมแดน) คุณสามารถไปเยี่ยมชมชายหาด และไปชมเสานี้ได้

ลักษณะทั่วๆ ไปของพื้นที่ใต้ทะเล

พระเจ้าทำให้เกิดลมทางด้านตะวันออก เกิดขึ้นเป็นแรงกระแทก ที่พื้นน้ำ แยกน้ำออกจากกันเป็นระยะทางประมาณ 10 ไมล์ หรือประมาณ 18กิโลเมตร เพื่อให้อิสราเอล เดินข้ามไปอย่างปลอดภัย ทางข้ามนี้กว้างประมาณ ครึ่งไมล์ บนพื้นใต้ทะเลที่มีลักษณะเอียงเล็กน้อย ของทะเลแดง ไปสู่ชายหาดที่ซาอุดิอาราเบีย ส่วนความลึกของทะเลแดง ก็จะอยู่ที่ 2,600 ฟุต ราวๆ800 เมตร แต่บริเวณโดยรอบมีจุดที่ลึก ที่สุดถึง1,600 เมตร



พบล้อ รถรบสมัยโบราณในทะเลที่Nuweiba !


ภาพ: ล้อรถรบสมัยโบราณ ที่แสดงให้เห็น ใต้ทะเล ค้นพบโดย Ron Wyatt ด้วยเครื่องที่ใช้ฟังความถี่ของวัตถุต่าง จากเรือของเขา เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ค้นหาทองคำ คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า รถรบสมัยโบราณทั้งหมดของอียิปต์ และรถม้า600 คันมีพื้นที่ทำด้วยทองคำ ในกองทัพอียิปต์ ที่ไล่ติดตามคนของพระเจ้า เป็นที่น่าคิดว่า รถม้ากว่า 20,000 คัน ถูกทำลายในวันนั้น และรูปขวา คือ ภาพของรถรบรถม้าสมัยโบราณของอียิปต์ ที่มีซี่ล้อ 4 และ6 ซี่ ที่ถูกพบในอ่าว และเป็นรถม้าที่นิยมใช้ในช่วง เวลานั้น



กระดูกส่วนตะโพกมนนุษย์ ที่ถูกหิน ปะการัง ครอบคลุมไว้ ขณะนี้กำลังอยู่ในห้องทดลอง ณ มหาวิทยาลับStockhom และน่าจะเป็นกระดูกผู้ชายสูงประมาณ 165-170 เซนติเมตร



ล้อรถสมัยโบราณ และโครงกระดูกม้า ที่กลายเป็นปะการัง จมอยู่ใต้พื้นทราย



มุมมองจาก หาดNuweiba ที่อียิปต์ เราจะเห็น โรงแรมข้างหน้า. รูปภาพโดยMarcio



หวังว่าวันหนึ่ง ผมจะได้ไปยืนอยู่นะหาด Nuweiba บ้าง(จากwebmaster) อยากสัมผัสของจริง ใครอยากไปบ้างครับ ... อียิปต์ทริป


ข้อมูลจาก :

http://www.arkdiscovery.com
http://users.netconnect.com.au


ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับทะเลแดง

โดยทะเลแดงเชื่อมกับ มหาสมุทรอินเดียที่อ่าวเอเดน (Gulf of Aden) ทะเลแดงมีความยาวประมาณ 1900 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 300 กิโลเมตร ร่องทะเลที่ลึกที่สุดประมาณ 2,500 เมตร และความลึกเฉลี่ยประมาณ 500 เมตร

ทะเลแดงมีชื่ออื่นคือ อ่าวอาระเบีย (Arabian Gulf) ซึ่งเรียกกันก่อนสมัยคริสศตวรรษที่ 20 ชื่อทะเลแดงไม่ได้หมายถึงสีของน้ำทะเล แต่หมายถึงสีของแบคทีเรียชนิดหนึ่นบริเวณผิวน้ำ

แหล่ง ที่มา : http://www.weareimpact.com/content