วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนค้นคน ดาวดังหนังแผ่น แนท เกศริน วันอังคาร ที่ 19 ตุลาคม 2553

คนค้นคน ตอน แนท เกศริน เผยเบื้องหน้า เบื้องหลัง ของเธอ

























คนค้นคน ตอน แนท เกศริน เผยเบื้องหน้า เบื้องหลัง ของเธอ



ปี 2547 ชื่อ แนท เกศริน เด็กสาววัยใสจากเมืองสองแคว กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งประเทศ ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แม้กระทั่งผู้หญิง เด็ก คนชรา ก็น้อยคนนักที่ไม่รู้จักแนท ตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับและนิตยสารบันเทิงแทบทุกเล่มต่างก็พากัน พาดหัวข่าวเรื่องของเธอ จนกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมขณะนั้น องค์กรสิทธ์ต่าง ๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน และในขณะเดียวกันผู้คนจำนวนมากก็พากันหาซื้อซีดีหนังโป๊แนทตามแหล่งใต้ดิน ต่าง ๆ ว่ากันว่าจำนวนก๊อปปี้แผ่นนับล้านเลยทีเดียว หลังจากที่ตกเป็นข่าวดังทั่วประเทศ แนท ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปให้ปากคำแก่ตำรวจกองปราบเพื่อสาวไปยังต้นตอแหล่งผลิตซี ดีลามก ซึ่งแนทให้การกับตำรวจว่า ตัวเองโดนล่อลวงให้เล่นหนังโป๊โดยที่ไม่ได้ยินยอม
และ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ข่าวอื้อฉาวครั้งนั้นกลับสร้างงานและรายได้อย่างงามให้กับเธอ ทั้งเดินสายออกรายการบันเทิงตามช่องต่าง ๆ และโชว์ตัวที่ต้องเดินสายตลอดทั้งเจ็ดวันเต็มตามแหล่งบันเทิงทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในรถแทนบ้าน ในทางตรงกันข้ามช่วงที่เป็นข่าวดังครึกโครมแนทก็ถูกตัดขาดจากครอบครัว เพราะสร้างความอับอายให้กับญาติพี่น้องถึงกับไม่อยากให้ใช้นามสกุลร่วมกัน รวมทั้งปัญหาชีวิตรักที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ความทุกข์ครั้งนั้นทำให้แนทคิดสั้นถึงกับกินยาฆ่าตัวตา ย แต่เมื่อคิดถึงคุณย่า ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ 2 ขวบ และเป็นเสมือนครอบครัวที่มีอยู่เพียงคนเดียว ก็ทำให้แนทมีกำลังใจกลับมาสู้กับปัญหาชีวิตและยอมรับผลจากการกระทำของตัวเอง ในครั้งนั้น
แล้ววันหนึ่งข่าวของแนทก็ค่อย ๆ หายเงียบไปจากสังคมปากว่าตาขยิบ ทิ้งไว้เพียงชื่อ “แนท” ที่ทุกคนยังจดจำได้อยู่ บางกระแสข่าวก็บอกว่าแนทตกอับถึงขั้นต้องไปรูดเสาโชว์ตามผับตามบาร์ หรือไม่ก็บอกว่าแนทเดินสายโชว์เปลือยอกแปะจุกด้วยสติ๊กเกอร์ หรือไม่ก็ไปเป็นเด็กเสี่ย เด็กป๋าจนตั้งท้อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธออยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร

http://www.showded.com/myprofile/news_post_nc.php?newId=146195

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตัวอย่างหนัง (ที่ทูลกระหม่อมหญิงแสดงนำ) My Best BodyGuard


โปสเตอร์ของหนังเรื่อง My Best BodyGuard

ภาพตัวอย่างหนังบางส่วน

เรื่องย่อ : มาย เบสท์ บอดี้การ์ด

นิชา นัก ข่าวสาวที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ได้รับข่าวสารลับเกี่ยวกับเชื้อไวรัสตัวใหม่ตัวหนึ่ง ที่สามารถจะฆ่าคนทั้งประเทศไทยเพียงพริบตาเดียว เธอตามสืบข่าวนี้ทันที แต่ยิ่งเธอใกล้หาข้อมูลได้มากขึ้นเท่าไรชีวิตของเธอก็ตกอยู่ในอันตรายมาก ขึ้น

ต่อมาเธอพบว่า มีบริษัทยาต่างชาติอยู่เบื้องหลังการผลิตเชื้อไวรัสนี้ บริษัทดังกล่าวได้ใช้คนเป็นๆ จำนวน 7 คนเพื่อทดลองยาแทนที่จะใช้หนูตะเภา นิชา ต้อง การหยุดการกระทำอันเลวร้ายที่ว่า เธอต้องการปล่อยข่าวนี้ให้ประชาชนรับทราบ และหยุดการกระทำอันผิดมนุษย์ให้จงได้ เธอเริ่มตามหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 7 คนนี้ และพบว่าเลือดของเหยื่อเหล่านี้คนหนึ่ง สามารถช่วยรักษาคนที่เหลือได้

ขณะเดียวกัน มีคำสั่งลับให้สั่งฆ่า หนูห้องแล็บ 7 คนนี้ นิชา พยายามออกตามหาพวกเขา และปกป้องพวกเขา

My Best Bodyguard - Official Trailer (Sup Thai) - HD 1080p





Trailer My best bodyguard (with eng-sub)







เครดิตภาพ : Nangdee.com

สนับสนุนเนื้อหา :

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สามีกับจระเข้ หญิงสาวคนนี้เลือกจระเข้

จระเข้





เลี้ยงจระเข้นาน 13 ปี สามีหน่าย ดูแลแต่สัตว์ละเลยหน้าที่ภรรยา ยื่นคำขาดเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจารย์พยาบาลเด็ดบอกขอจระเข้ เพราะรักเหมือนลูก อีกทั้งดูแลตัวเองไม่ได้ หาข้าวกินไม่เป็น...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ว่า นางวิคกี้ โลวิง อาจารย์พยาบาล วัย 52 ปี จากเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มีปัญหายืดเยื้อเรื่องสัตว์เลี้ยงกับสามีมานานหลายปี ตัดสินใจหย่าขาด แล้วเลือกอยู่กับจระเข้ โดยให้เหตุผลว่ารักเหมือนลูก อีกทั้งไม่สามารถดูแลตัวเองได้ผิดกับสามี

นางวิคกี้ เผยว่า จระเข้ ถูกทิ้งอยู่หน้าบันไดบ้านเมื่อปี 2539 จึงนำมาเลี้ยงดูอย่างดีราวกับลูกอีกคนหนึ่ง โดยพาออกไปเดินเล่น และทำกิจกรรมบริเวณนอกบ้าน และพาเข้านอนบนเตียงเดียวกับ แอนดรูว ลูกชาวัย 14 ปี ด้านนายเกรก สามีอาจารย์พยาบาลกล่าวว่า อดีตภรรยาของตนใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อดูแลจระเข้มากเกินไป จึงตัดสินใจยื่นคำขาดให้เลือกระหว่างตนกับจระเข้

ทั้ง นี้นางวิคกี ไม่ลังเลเลือกจระเข้ในที่สุด และเซ็นต์ใบหย่ากับนายเกรกเมื่อปี 2548 โดยให้เหตุผลว่า รักจระเข้เหมือนลูกสาวคนเล็ก รวมถึงจระเข้ไม่สามารถทำกับข้าวทานเองได้ แต่สามีของเธอสามารถดูแลตัวเองได้อย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องดูแลเพิ่มเติม

นอกจากนี้นางวิคกี้ให้สัมภาษณ์ว่า จระเข้ ของเธอชื่อ จอห์นี อายุ 13 ปี ห่างจากลูกชายของเธอเพียงปีเดียวเท่านั้น โดยทั้ง 2 เปรียญเหมือนพี่กับน้องที่โตมาด้วยกัน และรู้สึกรักจอห์นีราวกับลูกสาวแท้ๆ ซึ่งหลังจากเลิกทางเดินคนละทางกับสามีแล้ว บ้านกลับมาสงบเหมือนเดิม เพราะก่อนหน้านี้สถานการณ์ภายในบ้านค่อนข้างตรึงเครียดอยู่เสมอ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก





วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พาไปเที่ยวบึงกาฬ จังหวัดที่ 77ของไทย








เที่ยวบึงกาฬ จังหวัดที่ 77






Pic_101013

ครม.ไฟเขียวตั้ง "อ.บึงกาฬ" ขึ้นเป็น "จังหวัดที่ 77" ของไทย โดยแยกตัวออกจาก จ.หนองคาย ประกอบด้วย 8 อำเภอ ชี้มีศักยภาพยกระดับเป็นจังหวัดได้ ระบุมีอีก 3-4 อำเภอจ้องขอแยกตัว อาทิ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่...

เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่ 77 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอมา โดยแยกออกจาก จ.หนองคาย เนื่องจากมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นจังหวัดใหม่คือ มี 8 อำเภอประกอบด้วย อ.บึงกาฬ อ.เซกา อ.โซ่พิสัย อ.พรเจริญ อ.ปากคาด อ.บึงโขงหลง อ.ศรีวิไล และ อ.บุ่งคล้า มีประชากรเกือบ 4 แสนคน จากเกณฑ์ 3 แสนคน และจังหวัดมีรายได้ 89 ล้านบาท/ปี จากเกณฑ์รายได้ 2.5 ล้านบาท/ปี มีความพร้อมเรื่องสาธารณูปโภคทั้งศาลากลาง อำเภอ สำนักงานอัยการ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ แขวงการทาง สถานีตำรวจน้ำ

นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ รูปแบบพิเศษติดชายแดนลาว 330 กม. อย่างไรก็ตามแม้จังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ 4,305 ตร.กม. ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ 5,000 ตร.กม. แต่ก็มีข้อยกเว้นให้ เพราะที่ผ่านมา จ.หนองบัวลำภู และ จ.อำนาจเจริญ ก็มีพื้นที่ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงมหาดไทยสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่จากการ ประชุมประชาคมหมู่บ้านพบว่า ประชาชน 98% เห็นด้วย และองค์กรปกครองท้องถิ่นเห็นด้วย 96% และหัวหน้าส่วนระดับอำเภอเห็นด้วย 100%

ทั้งนี้ นายปณิธาน กล่าวว่า ครม.ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งจังหวัดต้องมีการวางแนวทางชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณและบุคลากรในพื้นที่ โดยสำนักงบประมาณคาดการณ์ว่า ต้องเพิ่มงบประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี แต่คุ้มค่าหากเทียบกับการเพิ่มรายได้ของจังหวัดและการบริหารจัดการในพื้นที่ เกิดความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยระบุว่า มีอีก 3-4 อำเภอที่มีความพร้อมขอแยกตัวเป็นจังหวัดใหม่ เช่น อ.ฝาง ที่จะขอแยกตัวออกจาก จ.เชียงใหม่ ซึ่งนายกฯ มอบให้กระทรวงมหาดไทยไปรวบรวมรายละเอียด และทบทวนข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่กฎหมายดังกล่าวจะเข้าสู่สภาต่อไป.





อ.บึงกาฬ แยกจากจังหวัดหนองคาย เป็น จังหวัดที่ 77

10 อันดับ สุดยอดหญิงนักบุกเบิกกีฬา

10 อันดับ สุดยอดหญิงนักบุกเบิกกีฬา

อันดับที่ 10

สมเด็จพระราชินีแมรี่แห่งอังกฤษ

ตำนานเล่าขานกันว่า สมเด็จพระราชินีแมรี่แห่งอังกฤษ ทรงโปรดปรานกีฬากอล์ฟมากเป็นพิเศษ และสิ่งที่ยืนยันถึงความเกี่ยวเนื่องของพระองค์ กับกีฬากอล์ฟที่ยังคงหลงเหลือไว้ในยุคปัจจุบันก็คือการบัญญัติศัพท์คำว่า แคดดี้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า แคเด็ตส์ (cadets) หรือผู้ช่วยที่คอยตาม ดูแลรับใช้พระองค์อยู่ข้างๆ ระหว่างทรงกอล์ฟที่สนามอยู่นั่นเอง


อันดับที่ 9

มิลเดร็ด ดิดริกสัน ซาฮาเรียส

กล่าวกันว่าหากพิจารณาถึงนักกีฬาที่มีความสามารถรอบด้านชนิด ครบเครื่อง ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก โดยมองผ่านสายตาเป็นกลาง แล้ว ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะสมไปกว่า มิลเดร็ด ดิดริกสัน ซาฮาเรียส หรือ เบ๊บ อีกแล้ว! เบ๊บเป็นทั้งนักกรีฑาเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิคเกมส์ ปี 1932 เป็นโปรกอล์ฟอาชีพที่คว้าแชมป์มาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งยังเคยเข้าร่วมการแข่งขัน พีจีเอทัวร์รายการลอสแองเจลิส โอเพ่น พร้อมทำผลงานผ่านการตัดตัวด้วยตัวเองแบบที่ยังไม่เคยมีนักกอล์ฟหญิงคนไหนใน ปัจจุบันทำได้ ยังมีกีฬาอีกหลากหลายที่เบ๊บเลือกเล่น ทั้งบาสเกตบอล จักรยาน ว่ายน้ำ บิลเลียด ฯลฯ ที่น่าทึ่งก็คือไม่ว่าจะกีฬาไหนเธอก็ทำได้ดีทุกอย่าง จน ตอนที่ถูกถามว่ามีอะไรที่เธอไม่เล่นบ้างมั้ย เบ๊บก็หัวเราะและตอบอย่างอารมณ์ดีว่า มีค่ะ ตุ๊กตาไงล่ะ ซะอย่างงั้นเลย!?!


อันดับที่ 8

คุณยายแอนนี่ เทย์เลอร์

ใครจะไปคาดไปคิดว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมที่เราอินเท รนด์กันอยู่ตอนนี้ จะมีคน ล้ำสมัย เล่นมาตั้งแต่ปี 1901 นู่นแล้ว ที่สำคัญคนที่ริเริ่มท้าทายอะไรที่ มันสุดขั้วนี้ยังเป็นคุณยาย แอนนี่ เทย์เลอร์ ที่อายุปาเข้าไป 63 ปี อีกต่างหาก! คราวนั้นคุณยายท้ามฤตยูโดยการนั่งถังเบียร์ไหลลงมาตามน้ำตกไนอาการาสู้ พื้นน้ำเบื้องหลังคิดเป็นความสูงถึง 175 ฟุต!! ...ไม่ใช่เพื่อความสะใจ อะไร แต่เป็นการโชว์สตั๊นท์ท้าความตายเพราะแกกำลัง ถังแตก อยู่เท่านั้นเอง!! คุณยายทำสำเร็จก็จริง แต่ประโยคแรกที่ได้รับการบันทึกไว้หลัง ขึ้นจากน้ำคือ อย่าได้คิดทำตามเป็นอันขาด! ซึ่งก็แน่นอนว่ากว่าจะหาคนระห่ำได้เท่าแกก็อีกนานทีเดียว!

อันดับที่ 7

บิลลี่ จีน คิง

ในปี 1973 ผู้หญิงทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเปิดโทรทัศน์จูนคลื่นไปชมการแข่งขันเทนนิส ระหว่าง บิลลี่ จีน คิง สุดยอดนักหวดหญิงของยุค และ บ็อบบี้ ริกก์ส อดีตนักเทนนิสชายมือ 1 ของโลกวัย 55 ปี ในรายการพิเศษ แบทเทิล ออฟ เซ็กซ์ ที่ฮุสตัน ซึ่งเปิดตัวกันอย่างอลังการราวกับงานเทศกาล ก่อนจะลงเอยด้วยชัยชนะของคิงซึ่งกลายเป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่กำลังต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางเพศอยู่ในขณะนั้น


อันดับที่ 6

เวนดี้ ทอมส์

แม้วงการลูกหนังเมืองผู้ดีจะยังไม่เปิดกว้างรับ ผู้จัดการทีมหญิง แต่อย่างน้อยๆ ก็มีกรรมการหญิงลงไปทำหน้าที่ในสนามพรีเมียร์ชิพมาแล้วอย่าง เต็มภาคภูมิ กรรมการหญิงคนแรกที่ได้รับความไว้วางใจในทำหน้าที่ในลีกยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกคือ เวนดี้ ทอมส์ ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วย ผู้ตัดสินในลีกอาชีพของอังกฤษเมื่อปี 1991 ก่อนจะได้เลื่อนชั้นไปตีธงในพรีเมียร์ชิพในอีก 6 ปีต่อมา และตอนนี้เธอก็ได้เลื่อนขั้นมาเป่าเกมฟุตบอล ลีกคอนเฟอเรนซ์ของเมืองผู้ดีเรียบร้อยแล้ว


อันดับที่ 5

เชอรี่ ลุงกี้

เช่นเดียวกับเมื่อคราว เวลเวท บราวน์ บทบาทจ๊อกกี้หญิงในหนังของฮอลลีวู้ดเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว เมื่อปี 1989 เชอรี่ ลุงกี้ ดาราสาวชาวเมืองผู้ดี ได้จุดประกายความฝันและความเป็นไปได้เล็กๆ ผ่านจอโทรทัศน์ กับบทบาทกุนซือหญิงคนแรกของวงการฟุตบอลอาชีพเมืองผู้ดีในซีรีส์ แมเน เจอเรส ซึ่งตัวลุงกี้เองมาให้สัมภาษณ์ติดตลกในภายหลังว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ฟุตบอลเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีเธอคงจะต้องหาทางเข้าไปเทก โอเวอร์สโมสรใดสโมสรหนึ่งเข้าแล้วล่ะมั้ง!?! ปล.รูปแทนเพราะหารูปเจ้าหล่อนไมได้เลยจริงๆ


อันดับที่ 4

คาเรน พาร์เลอร์

ถึง คาเรน พาร์เลอร์ แม่บ้านชาวเมืองผู้ดีจะไม่ได้มีผลงานโดดเด่นในการแข่งขันกีฬาใดๆ แม้แต่เพียงครั้งเดียว เธอเองก็ถือเป็นหนึ่งใน ผู้บุกเบิก ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกี่ยวพันกับวงการกีฬาอย่างอ้อมๆ อยู่เหมือนกัน คาเรนเป็นภรรยาเก่าของ เรย์ พาร์เลอร์ อดีตกองหลังคนดังของทีม อาร์เซน่อล ตอนที่ทั้งคู่หย่าขาดจากกันเมื่อปี 2004 พาร์เลอร์ตกลงที่จะจ่ายค่า เลี้ยงดูให้กับคาเรน 120,000 ปอนด์ต่อปี แต่เธอก็ร้องต่อศาลว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอต้องช่วยเหลือดูแลประคับประคองครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้ชีวิตของอดีตหนุ่มโสดสำมะเลเทเมาอย่างพาร์เลอร์กลับมาเข้าที่ เข้าทางจนประสบความสำเร็จในอาชีพนักเตะได้ เธอจึงสมควรที่จะได้รับ รางวัลจากความพยายามเหล่านั้นด้วย ศาลอังกฤษเห็นชอบในเหตุผลนี้ และสั่งให้พาร์เลอร์จ่ายค่าเลี้ยงดูคาเรนเพิ่มเป็น 400,000 ปอนด์ต่อปี และนี่ได้ กลายเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับเหล่า ฟุตบอลเลอร์ส ไวฟ์ส ในเวลาต่อมาในที่สุด! ปล.รูปแทนเพราะหารูปเจ้าหล่อนไมได้เลยจริงๆ


อันดับที่ 3


เจ้าหญิงคีนิสก้า

ย้อนหลังกลับไปในยุคที่กีฬาโอลิมปิคเกมส์เพิ่ง ถือกำเนิดในยุคกรีกโบราณ ครั้งนั้น สนามกีฬายังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ชายที่เพศหญิงไม่ได้รับ อนุญาตให้ย่างเท้าเข้าไปด้านใน กระนั้นก็ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ เจ้าหญิงคีนิสก้า พระขนิษฐาของกษัตริย์แห่งสปาร์ต้า ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นกรณี พิเศษให้ร่วมแข่งขันในฐานะเจ้าของรถศึก และเจ้าหญิงคีนิสก้าก็ทรงรถม้าคว้าชัยในการแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ปี 396 ก่อนคริสต์ศักราช และอีก ครั้งใน 4 ปีถัดมา แต่เพราะเป็นหญิง ถึงจะได้รับอนุญาตให้ร่วมแข่งขันและได้รับชัยชนะ เจ้าหญิงคีนิสก้ากลับไม่มีโอกาสได้รับรางวัลเหมือนเช่นนัก กีฬาชายคนอื่นเลยแม้สักครั้งเดียว!


อันดับที่ 2


อลิซาเบธ เทย์เลอร์

อลิซาเบธ เทย์เลอร์ นางเอกสาวอมตะของฮอลลีวู้ด เคยสวมบทบาท เวลเวท บราวน์ จ๊อกกี้สาวผู้ควบม้าคู่ใจคว้าแชมป์แกรนด์เนชั่นแนล ในภาพยนตร์ เนชั่นแนล เวลเวท เมื่อปี 1944 ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้ชม แต่กว่าที่เรื่องราวในจินตนาการนั้นจะกลายเป็นจริงก็ตั้งอีก 33 ปีต่อมา เมื่อ ชาร์ล็อตต์ บรูว์ กลายเป็นจ๊อกกี้หญิงคนแรกที่ได้ร่วมแข่งขันแกรนด์เนชั่นแนล แต่น่าเสียดายที่ บาโรนี่ ฟอร์ท ม้าของเธอไม่ยอมข้ามรั้วหนึ่ง บรูว์เลยพลาด โอกาสจบการแข่งขันอย่างที่คาดหวังไว้


อันดับที่ 1


เกอร์ทรูด เอเดอร์เล่

เกอร์ทรูด เอเดอร์เล่ เงือกสาวชาวอเมริกัน เจ้าของแชมป์โลกและเหรียญทองโอลิมปิค ทำให้ผู้ชายอกสามศอกต้องสะอึกไปตามๆ กัน หลังจาก กลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ เมื่อปี 1926 ซึ่งก่อนหน้านั้นเพิ่งมีผู้ชายเพียง 5 คนเท่านั้นที่ทำได้ ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อมีการคำนวณเรื่องคลื่นลมมาประกอบกัน ทำให้ทราบว่าจากระยะทางปกติ 21 ไมล์ (33.8 กิโลเมตร) อุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ระยะทางว่ายเพิ่มขึ้นเป็นร่วมๆ 35 ไมล์ (56.3 กิโลเมตร) แต่ถึงอย่างนั้น เอเดอร์เล่ซึ่งยังเป็นสาวสะพรั่งวัยเพียง 19 ปี ในขณะนั้นก็ยังทำสถิติ เวลาว่ายของพวกผู้ชายเสียกระจุยกระจาย ด้วยเวลารวม 14 ชั่วโมง 39 นาที! กล่าวกันว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีผู้หญิงอเมริกันอีกกว่า 60,000 คน ได้แรงบันดาลใจจากเอเดอร์เล่และไปว่ายน้ำข้ามช่องแคบดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ ให้โลกรู้ว่าไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลัวรี่ ราพาล่าThe Story of Rapala

ลัวรี่ ราพาล่าThe Story of Rapala


ลัวรี่ ราพาล่า(Lauri Rapala)

ลัว ลี่ ราพาล่า เกิดที่เมืองเล็กๆ ในปี 1907 เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยเห็นหรือรู้เรื่องราวของพ่อผู้ให้กำเนิด ไม่มีแม้แต่นามสกุล จวบจนกระทั่งอายุได้ 5 ขวบ เจ้าหน้าที่ทางทะเบียนราษฎร์จึงตั้งนามสกุลให้เขาว่า "ราพาล่า" ตามชื่อของเมืองที่เขาได้เกิดมา ซึ่งคำว่า Rapala(ราพาล่า)ในภาษาถิ่นที่นี่ หมายความถึงความมัวหม่น หม่นหมอง ปลักตม ซึ่งตรงกับบุคลิกภาพหม่นหมองของเด็กกำพร้าน้อยคนนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาพบเจอแต่ความยากลำบาก ต้องทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ แม้แต่ออกรบในสงครามทั้งกับพวกรัสเซียและเยอรมันเพียงเพื่อได้มีอาหารและ เกียริติยศเล็กน้อยในจิตใจ


เป็น เวลาหลายสิบปี ที่เขาตกปลาอยู่ตามทะเลสาบชายป่าซึ่งอยู่ไกลออกไปทางด้านเหนือของ เฮลซิงกิประมาณ 2 ชั่วโมง โดยอาศัยเรือกรรเชียงเก่าๆ เขาเพียรเรียนรู้การต่อสู้เพื่อยังชีพในกระแสน้ำ เฝ้ามองปลาเหยื่อตัวเล็กๆ ที่ถูกงาบเข้าไปในอุ้งปากมหึมาของปลานักล่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาเทร้าท์หรือไม่ก็ปลาไพค์"ผมได้เห็นว่าปลาใหญ่ๆ นั้นมักจะรอคอยจนกระทั่งสามารถเลือกเหยื่อที่มีลักษณะอาการแตกต่างไปจากตัว อื่น"เขาเคยพูดอธิบายให้ฟัง "การที่ปลาเหยื่อถูกปลานักล่าขนาดใหญ่ กินก็เป็นเพราะกริยาอาการว่ายที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เป็นจังหวะที่ต่างกัน" ด้วยการสังเกตุพฤติกรรมนิสัยปลามาเนิ่นนาน เขาถึงขนาดทายไว้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อลงเหยื่อเสร็จ ปลาจะกินเหยื่อตัวใหนก่อน


นี่ ไม่ใช่การฝึกสังเกตุการณ์อย่างอดทนที่ไร้ค่า เพราะครอบครัวราพาล่ามีชีวิตอยู่ได้ ด้วยปลาตลอดระยะเวลาทุกข์ยากอันยาวนาน หลังจากไม่ได้มรรคผลอะไรจากอาชีพเพาะปลูกและตัดซุง เขาตกลงใจเป็นชาวประมงและแต่งงานกับภรรยาของเขา เอลมา ซึ่งมีลูกด้วยกัน 7 คน ครอบครัวนี้อยู่รวมกันในกระท่อมซุงสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาว 13 ฟุต เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีเตียงอยู่ตัวหนึ่งและเมื่อไฟฟ้าไปถึงที่นั่นในปี 1939 ทั้งบ้านมีตะเกียงน้ำมันอยู่เพียงดวงเดียว


ลัว รี่ ราพาล่า ตกปลาอย่างหนักแทบทุกลมหายใจที่ตื่น ในทะเลสาบใกล้ๆกับ วาแอคซี่ ฟินด์แลนด์ เขาจะวนเวียนพายเรืออยู่ในนั้นเป็นวันๆ หรืออาจวันข้ามวัน มีตาข่ายใส่เหยื่อปลาและเบ็ดนับร้อยๆสาย และเขาไม่เคยมีคันเบ็ดใช้เลย บางทีเขาจะหายไป 2 วันแล้วกลับมาพร้อมด้วยปลาเทร้าท์หนักรวมกันถึง 600 ปอนด์ และบางทีก็หายไปนานกว่านั้นแล้วกลับมาแบบไม่ได้อะไรเลย(แห้ว)


ริ สโต้ ลูกชายคนหนึ่งของเขาพูดถึงพ่อแบบทบทวนความหลังว่า พ่อออกจากบ้านในฤดูหนาว วิ่งสกีไปหลายๆ ไมล์ข้ามหิมะและน้ำแข็งไปยังแหล่งตกปลา เพื่อเจาะหิมะและน้ำแข็งซึ่งหนาถึง 23 นิ้ว ให้เป็นรูแล้ววางเบ็ดพร้อมปลาเหยื่อลงไปนำอาหารกลับมาให้ครอบครัวยังชีพ


อย่าง ไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเขาต้องทำงานสายตัวแทบขาดนั่นเอง ราพาล่าได้หวนคิดถึงปลาที่มีลักษณะว่ายน้ำผิดปกติเฉไปมา และโดนปลาล่าเหยื่อเข้าชาร์จตลอดเวลา ลักษณะเช่นนี้น่าจะเป็นแรงดึงดูดเจ้าตัวใต้น้ำได้เป็นอย่างดี เขาจึงค้นคิดและลองทำเหยื่อปลอมซึ่งถูกลากและมีแอคชั่นออกอาการคล้ายๆ ปลาเหยื่อที่กำลังบาดเจ็บซึ่งจะเรียกร้องความสนใจจากปลาล่าเหยื่อ


หลัง จากทดลองหลายครั้งหลายหนเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า เหยื่อนั้นต้องใช้วัสดุเบาๆ ทำ มันจะได้มีแอ็คชั่นเหมือนเหยื่อปลาที่บาดเจ็บมากที่สุด ตอนแรกเขาใช้ไม้สนในการทำเหยื่อปลอมรูปตัวปลา ต่อมาได้ทดลองใช้เปลี่ยนเป็นไม้บัลซ่าจากอีควาดอร์ เขาตกแต่งเหยื่อนั้นให้มีลักษณะคลายตัวปลา ใช้กระดาษ ตะกั่ว ทากาวทับติดตัวปลา ติดปากเพื่อให้เหยื่อมีแอคชั่นและเพื่อให้มองดูเหมือนปลาเหยื่อมากขึ้น เขาระบายสีเหยื่อปลอมตัวนี้ด้วยหมึกสีแบบเก่า


เหยื่อ ปลอมตัวนั้นประสบความสำเร็จอย่างน่าตกใจ มันเกินความคาดหมายของเขาอย่างมาก กิติศัพท์เรื่องเหยื่อของเค้าล่ำลือไปจนทั่ว และเขาไม่ได้หวงแหนหรือเก็บงำไว้เป็นความลับส่วนตน เขาทำเหยื่อปลอมแบบตัวเก่งของเขา แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและเพื่อนคนหาปลาด้วยกัน สุดแล้วแต่ใครจะขอหรืออยากได้


ข่าวดี นั้นเดินทางเร็วในโลกของคนตกปลา มันแพร่ไปเร็วและกว้างยิ่งกว่าไฟใหม้ป่า ความต้องการหลั่งใหลเข้ามา และราพาล่าเริ่มต้นขายเหยื่อปลอมของเขา


อะไร กำลังจะดี แต่มีอุปสรรคเข้ามาขวางให้โชคของคนยากจบสิ้นลงง่ายๆ รัสเซียบุกเข้ายึดครองฟินด์แลนด์ในปี 1939และเขาต้องไปรับใช้กองทัพเป็นเวลาถึง 5 ปี กว่าเขาจะได้กลับคืนไปที่กระท่อมน้อยริมทะเลสาบของเขาอีก ในช่วงนั้นเอลมา เลี้ยงลูกชาย 5 คนและลูกสาว 2 คนให้มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการทำงานเล็กๆน้อยๆ และกู้ยืม เมื่อภาวะสงบกลับคืนมาและคนทั่วไปเริ่มมีเวลาว่าง กีฬาตกปลาก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเนือ ราพาล่าก็สามารถผลิตและขายเหยื่อปลอมของเขาได้มากขึ้น


กลางๆ ปี 1950 เหยื่อราพาล่าจึงได้ไปถึงอเมริกา เขาส่งมันไปเป็นของขวัญแก่ชาวฟินด์แลนด์ซึ่งอยู่ในฟลอริดา และ แถบเหนือติดกับพรมแดนแคนาดาซึ่งกำลังบ้าตกปลาขนานใหญ่ และในมิเนโซต้าซึ่งเป็นทีที่ คนเชื้อสายจากชาวฟินด์แลนด์ตั้งรกรากกันอย่างหนาแน่น ชื่อของราพาล่าจึงอุบัติขึ้น ทั้งในฐานะความภาคภูมิใจแก่คนเหล่านั้นที่มีต่อราพาล่า ในฐานะผู้สร้างเหยื่อตกปลาขั้นเทพ และเป็นเหยื่อปลอมมหัศจรรย์ที่สุด บางคนรีบกลับจากอเมริกาไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเอารางวัลการแข่งตกปลาที่ ได้จากเหยื่อปลาปลอมของราพาล่า ไปให้เขาที่เป็นผู้ผลิตคิดค้นได้ร่วมชื่นชม ดูเหมือนว่าเหยื่อราพาล่าจะได้ปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลาเทร้าท์ ปลาไพค์ หรือปลาแบสส์ เป็นจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยตกได้มาก่อน


เพราะ ว่ามันเป็นงานฝีมือ ทำด้วยมือล้วนๆ และหายาก โรคบ้าเหยื่อราพาล่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเหยื่อราพาล่ามันเป็นเหยื่อน้ำหนักขนาดเบาอยู่ระหว่างปานกลาง ดังนั้นจึงใช้ได้กับคันขนาดเบาทุกประเภท แต่แปลกที่มันมีน้ำหนักเพียงพอให้ขว้างหรือหวดสายออกไปได้ ลากได้และไม่จม จึงเป็นที่ถูกใจของนักตกปลา


เป็น เรื่องตลกที่เกิดมีการเล่าถึงเรื่องนักกีฬาตกปลาขโมยเหยื่อปลาปลอมจาก เพื่อนนักตกปลาด้วยกัน และยังมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการให้เช่าเหยื่อปลอมราพาล่า ซึ่งบัดนี้ขนานนามกันว่าเป็นปรากฎการณ์ราพาล่าฟีเว่อร์ก็คงไม่ผิดนัก ผู้เช่าเหยื่อส่วนมากคือคนที่ได้ยินกิตติศัพท์แต่ไม่สามารถหาซื้อมาไว้เป็น เจ้าของได้ ต้องไปเช่าคนอื่นมาทดลองตก ของที่ถูกส่งข้ามประเทศมาในฐานะของขวัญ บัดนี้แอบขายให้กันตามเคาท์เตอร์สำหรับคนกันเอง เพราะมันมีเพียงจำนวนน้อย ในราคาตัวละ 25 เหรียญ ซึ่งในยุคนั้นเป็นราคาที่แพงเหมือนกับทอง


(สองเสี่ยว)

และ แล้วก็มีคนหัวใสเกิดขึ้นมาจนได้ หมอนั่นเป็นพนักงานขายจอมจ้อชื่อ รอน เวบเบอร์ ในมินเนโซต้า ซึ่งได้ยินปรากฎการณ์ rapala ฟีเว่อร์ อันพิลึกกึกกือนี้ รอน เวบเบอร์ จึงร่วมทุนร่วมความคิดกับเพื่อนที่ชื่อ เรย์ ออสตรอม เขียนจดหมายไปถึง ลัวรี่ ลาพาร่า ขอเป็นตัวแทนขายเหยื่อปลอมราพาล่าแต่เพียงผู้เดียวในทวีปอเมริกาเหนือ


พอ ถึงตอนนั้น เนื้อที่ขนาดแมวดิ้นตายในกระท่อมของลัวรี่ กลายเป็นโรงงานผลิตเหยื่อปลอม โดยเขา เมีย ลูกๆ และเพื่อนบ้านสาละวนกับการทำเหยื่อตามใบสั่งที่ทยอยตามกันเข้ามาไม่ขาดสาย เหยื่อถูกส่งไปอเมริกาขายหมดในพริบตา ใบสั่งระลอกใหม่ตามเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงปี 1962 นักตกปลาซึ่งโดนความยากจนกระหน่ำมาทั้งชีวิตและเริ่มดูว่าแก่ทรุดโทรม ทั้งที่เขามีอายุเพียง 55 ปี ก็ตกลงเซ็นสัญญากับพนักงานขายชาวอเมริกัน 2 นายนั้น ทั้งสองคนได้เป็นผู้ขายราพาล่าแต่เพียงผู้เดียว รับไม่จำกัดจำนวน เหยื่อผลิตออกมาได้เท่าไหร่เป็นเอาทุกตัว ตอนนั้นลัวรี่ ยังคงผลิตเหยื่อทุกตัวด้วยมืออย่างปราณีตเช่นเคย


อะไร ที่มันจะเกิด มันต้องเกิดนิตยสารไลฟ์ได้รับรู้ถึงชื่อเสียงของเหยื่อตัวนี้ และนำเหยื่อราพาล่าพาดหัวบนปกนิตยสาร ซึ่งหน้าปกนั้นมีมาริลีน มอนโร ผงาดเนื้อหนังโนมเนื้อทุกส่วนของเธอ มันเป็นฉบับประจำวันที่ 17 สิงหาคม 1962 ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า "เหยื่อปลอมที่ปลาไม่มีสิทธิปฏิเสธ"เป็นฉบับที่ไลฟ์เองก็ทำลายสถิติการ จำหน่ายของตัวเองเหมือนกัน


"เรา แทบไม่เชื่อ ไม่เชื่อเอาจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาสั่งเหยื่อปลอมทุกนาที..." ออสตรอมเล่าให้ฟัง เพียงปีเดียวขายไปได้100,000 ตัว พอถึงปี 1964 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 และไม่นานก็เพิ่มเป็นล้านและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ลัว รี่ ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งใหญ่โตขึ้นแต่ยังคงอยู่ในชนบท เขาเป็นวีรบุรุษหนึ่งเดียวของท้องถิ่น ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อความสำเร็จจะมาถึง มันมาในชั่วเวลาไม่ทันข้ามคืน หลังจากที่ความยากจนกระหน่ำย่ำยีเขามาค่อนชีวิต แต่เขาก็ยังเป็นเขา เป็นชาวประมงหาตกปลาในชนบทเหมือนดังเดิม ความสำเร็จนั้นไม่ได้มีผลแตกต่างอะไรต่อตัวเขา เขายังเป็นคนง่ายๆ จะเล่าถึงความสำเร็จนั้นอย่างร่าเริงบ้าง กับกลุ่มเพื่อนฝูงชาวบ้านนอกที่สนิทกันมาเก่าก่อน แต่จะเก็บตัวและขลาดอายเสมอเมื่อมีคนไม่รู้จักแวะเวียนมาหาซึ่งในจำนวน นั้นก็มีประธานาธิบดีฟินด์แลนด์ และเจ้าชายฟิลลิปแห่งอังกฤษรวมอยู่ด้วย


(ลัวลี่กับริสโต้)


"พ่อ ไม่เคยอยากท่องเที่ยว"ริสโต้ ลูกชายคนโตเล่า "พ่อเคยไปอเมริกาเพียงครั้งเดียว ไปอยู่แค่สองอาทิตย์และตลอดเวลาก็ตกปลาในทะเลสาบชายป่ามินเนโซต้า"

(เอ็นซิโอ)
เอ็น ซิโอ ลูกอีกคนบอกว่า "พ่อมีเงินติดตัวไม่มาก บางทีก็ไม่มีเลย ถ้าพ่อนั่งแท็กซี่กลับบ้าน พ่อก็จะบอกให้คนขับรถขับไปที่แบงค์ไปเอาเงินที่พ่อฝากอยู่"


ใน ปี 1965 ลูกคนเล็กชื่อ คัวโก้ ได้จมน้ำตายในทะเลสาบซึ่งเขาเคยทดสอบเหยื่อปลอมอยู่เสมอ เรือที่นั่งไปชนสิ่งกีดขวางและเขาพลัดตกลงไปในน้ำ กว่าจะพบศพก็อีกอาทิตย์ถัดมา สิ่งที่ติดขึ้นมากับขากางเกงของหนุ่ม 26 ปีผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหยื่อราพาล่าตัวหนึ่ง


โศก นาฏกรรมนั้นทำร้ายชายชราอย่างแสนสาหัส ริสโต้ บอกว่า "พ่อไม่เป็นอย่างเดิมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พ่อรู้สึกว่าสายน้ำซึ่งการุณพ่อมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ทวงหนี้ที่พ่อต้องชำระ นั่นคือชีวิตของ คัวโก้"


ชาย ชราดื่มอย่างหนักหลังการตายของลูกชาย โอนกิจการให้ลูก ไม่เคยมาสนใจใยดีว่ากิจการนั้นก้าวหน้ายิ่งใหญ่เพียงใด ร่างกายซึ่งครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่ง บัดนี้แห้งเหี่ยว ทรุดโทรม ไร้ซึ่งพละกำลัง ทั้งกายและใจ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ลัวรี่ ราพาล่า หมดลมหายใจลงในวันที่ 20 ตุลาคม 1974 มีทรัพย์สินส่วนตัวที่เหลือเพียง 27,000 เหรียญ เพราะนอกนั้นเขามอบให้กับลูกๆ และคนอื่นหมดสิ้นแล้ว


ศพ ลัวรี่ ถูกฝังไว้ใกล้ๆกับศพของคัวโก้ลูกชายที่เขารัก แต่ชื่อของเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นอมตะนามเสมอในหมู่นักกีฬาตกปลา ตราบเท่าที่เหยื่อปลอมราพาล่ายังติดปลาทุกตัวขึ้นมาจากน่านน้ำและกระแสธาร ทั่วโลก...


หลับ ให้สบายเถิด..ชายผู้ให้กำเนิด..เหยื่อแห่งความฝัน..ดาวเดือนเกลื่อนฟ้าหมื่น พัน..จะโอบกอดท่านนั้นให้หลับสบาย....สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต...ยัง กระตุ้นจิตให้คิดถึง..เหยื่อปลอมใหญ่น้อยกลาดเกลื่อนเต็มบึง...ราพาล่าคือ ที่หนึ่งในใจเรา....(ไปได้เว้ย..สุดยอด..อิอิ)


http://jawnoyfishing.blogspot.com/2009/07/story-of-rapala.html