ชีวิตนอกบทของ "แวร์ โซว" คุณแม่ดาราเลี้ยงลูกเดี่ยวยอดนักสู้
แต่ท้ายที่สุดนั้น การตัดสินใจของเธอ คือสิ่งที่สังคมเข้าใจ และพร้อมให้กำลังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยว อดทน และสู้ชีวิตหาเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นต้นแบบคุณแม่ดาราเลี้ยงเดี่ยวลูกคนเดียวที่น่าชื่นชมคนหนึ่ง นับว่าเป็นโอกาสดีของทีมงาน Life and Family ที่ได้เดินทางไปล้วงลึกถึงชีวิตของคุณแม่ดารานักสู้คนนี้กันถึงแมนชั่น ห้องพักที่เธอเช่าอยู่กับ "น้องคนดี" ลูกสาววัย 4 ขวบ 10 เดือน ที่ถือเป็นคนสำคัญของเธอ เพราะลูกคือคนที่สู้ชีวิตเคียงข้าง และคอยเติมพลังให้กับเธอมาตลอด ตั้งแต่ผู้ชายขี้โกงคนนั้น หนีจากเธอไป "ตอน ที่พี่รู้ว่าท้องจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยก็ตาม พี่ไม่เสียใจ กลับดีใจด้วยซ้ำที่จะได้เป็นแม่คน เพราะพี่คิดว่า เขาเลือกที่จะมาอยู่กับเรา ดังนั้นเราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด ส่วนความคิดที่จะเอาลูกออกนั้น สำหรับพี่ไม่มี พี่ไม่คิดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีจริงๆ ซึ่งพี่โชคดี ที่พ่อแม่พี่น้อง เข้าใจ และให้กำลังใจ รวมทั้งเคารพในการตัดสินใจของเรา" สำหรับเส้นทางที่เธอเลือกเดินนั้น เธอคิดอยู่ทุกครั้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อความรู้สึกลูกอย่างไรในตอนโต แต่เธอก็ได้สัญญากับตัวเองว่า เธอพร้อมจะชดเชยด้วยการให้ความรัก เวลา และพูดคุยกับลูกทุกวัน เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังขาดบางสิ่งที่ไม่เหมือนเพื่อนไป เห็นได้จากการที่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนปีแรก ซึ่งแน่นอนว่า ทุกโรงเรียนจะต้องมีกิจกรรมวันพ่อเพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่ก่อนที่เธอจะพาลูกเข้าโรงเรียนนั้น เธอได้พูดคุยกับคุณครูถึงสภาพครอบครัวที่เธอเป็น ทั้งนี้ เพื่อที่ครูจะได้ปฏิบัติ และอธิบายให้ลูกฟังอย่างเข้าใจ "มี อยู่ครั้งหนึ่ง น้องคนดีกลับมาเล่าเรื่องพ่อของเพื่อนให้ฟัง เราก็ถามลูกกลับไปว่า น้องคนดี หนูเคยสงสัยไหมค่ะว่า หนูมีคุณพ่อหรือเปล่า ซึ่งพี่ก็อธิบายต่อว่า น้องคนดี หนูมีคุณพ่อนะคะ แม่น่ะ เคยมีแฟน ซึ่งก็เป็นคุณพ่อของหนู เราเคยรักกัน แต่มีอยู่วันหนึ่งเราทะเลาะกันจนอยู่ด้วยกันไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ทนแม่ไม่ไหว และก็หนีแม่ไป ส่วนแม่ก็หาเขาไม่เจอ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รักลูกนะคะ เขาแค่กลัวแม่เท่านั้นเอง" นี่เป็นคำพูดที่เธออธิบายกับลูกถึงความจริงบางอย่างเท่าที่ลูกพอจะเข้าใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่เธอก็ไม่เคยปิดกั้น และไม่เคยยัดเยียดสิ่งไม่ดีให้กับลูก แนวทางเลี้ยงลูก สไตล์ "แวร์ โซว" สำหรับแนวทางการเลี้ยงน้องคนดี เธอเล่าอย่างน่าสนใจว่า "พี่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อให้ใครมาชม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก คือ ทุกคนเอ็นดูเขา พี่จึงบอกลูกเสมอว่า เห็นไหมค่ะน้องคนดี ที่แม่เคี่ยวเข็ญ ที่แม่พูดแล้วพูดอีก สอนแล้วสอนอีก ประโยชน์อยู่ที่ลูกหมดเลย เวลาลูกไปไหน ทุกคนก็รักใคร่เอ็นดู” | |||||
ขณะเดียวกัน ถ้าลูกแสดงพฤติกรรมไม่ดีต่อหน้าคนอื่น การสอนให้รู้จักความเหมาะสมเป็นสิ่งที่เธอยินดีให้คนอื่นสอน ต่างกันกับพ่อแม่บางคนที่ไม่ยอมให้ใครมาสอน หรือตักเตือนลูก ในเรื่องนี้ เธอถือว่า ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเด็กจะเสียนิสัย "เราไม่สามารถดูลูกได้ตลอดเวลา แต่ถ้าลูกอยู่ในสายตาพี่ พี่ก็จะสังเกตอยู่ตลอด เวลาลูกคุยกับใคร หรือเล่นกับใคร คนๆ นั้นสอนเรื่องมารยาทให้กับลูกพี่ไหม ถ้าสอนพี่จะให้เล่น ถ้าเตือน หรือดุพี่จะให้เล่น แต่ถ้าไม่เตือนและไม่ดุ พี่จะไม่ให้ลูกเล่นด้วย เพราะคุณกำลังสอนพฤติกรรมที่ไม่ดีให้ลูกเรา เนื่องจากบางที เด็กไปกระชากของจากมือผู้ใหญ่ และพอพี่ดุลูก ก็มาบอกว่า ไม่เป็นไร เด็กยังไม่รู้เรื่อง ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้ เพราะเด็กกำลังแสดงมารยาทที่ไม่สมควรออกมา ซึ่งถ้าคุณไม่สอน เด็กก็จะทำต่อไปจนติดเป็นนิสัย" "หรือ อีกกรณีตัวอย่างหนึ่ง ตอนเด็กๆ น้องคนดีไม่เคยกลัวหมอฉีดยา แต่พอมีผู้ใหญ่บางคนมาพูด ฉีดยาเจ็บไหมลูก ร้องไห้หรือเปล่า พอไปหาหมอฉีดยาอีกครั้ง จากที่ไม่เคยร้อง ก็ร้องขึ้นทันที ซึ่งเราต้องพยายามบอกลูกว่า น้องคนดี หมอจะช่วยให้ลูกแข็งแรงนะคะ" กับ กรณีข้างต้นนั้น ถือเป็นสิ่งที่เธอกำลังเป็นห่วงลูกอยู่ ณ ตอนนี้ รวมไปถึงอนาคตข้างหน้า เพราะสิ่งที่คนรอบข้างทำกับลูก กำลังส่งผลให้เด็กขี้กลัวโดยไม่มีเหตุผล รวมไปถึงทัศนคติอื่นๆ ที่เธอในฐานะคนเป็นแม่ไม่สามารถบอก หรือสอนลูกได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรเธอก็เชื่อมั่นว่า การที่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกตั้งแต่เด็ก ย่อมมีความเสี่ยงน้อย ที่ลูกจะได้รับผลกระทบจากบางกลุ่มที่น่ากลัว | |||||
นอกจากนี้ พฤติกรรมของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่คุณแม่แวร์โซวให้ความสำคัญมากเช่นกัน เพราะลูกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับต้นแบบที่พ่อแม่แสดงออกมา ดังนั้น เธอยอมรับว่า บางครั้งเมื่อเกิดความเครียด อาจจะพาลคนอื่น แล้วพูดให้ลูกฟังบ้าง แต่เธอก็จะขอโทษลูกตลอด "ขอโทษนะคะ ณ เวลานั้นแม่ขาดสติ ขอโทษนะคะแม่ลืมตัว ไม่เตือนตัวเอง แล้วน้องคนดีเห็นไหมคะว่า การทำแบบนั้นมันไม่ดี ถ้าเป็นน้องคนดี หนูจะทำอย่างไร" กับสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เธอจะสอน โดยเปิดประเด็นถามตอบกับลูกเป็นประจำ เพราะเชื่อว่า จะทำให้ลูกรู้จักผิดชอบชั่วดี "พี่ เชื่อว่า ถ้าในตอนเด็ก ลูกมีพื้นฐานที่มั่นคง ภูมิต้านทานแข็งแรง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และเจอกับปัญหา เขาก็จะรับมือ และแก้ผ่านมันไปได้ แต่ในจุดนี้ พี่จะเน้นกับลูกอยู่ว่า เมื่อเกิดปัญหาขอให้คิด และแก้ไขด้วยตัวเองก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ท้ายที่สุดแล้วอะไรก็ได้ที่เขาจะเป็น แต่ขอให้เป็นเด็กดี อะไรก็ได้ที่เขาจะทำ ขอให้ทำในสิ่งที่ดี ไม่อิจฉา ริษยา ขี้โกหก เอาเปรียบ ขี้ขโมย แค่นี้ก็พอแล้ว" ทั้งนี้ เธอยังสอนให้น้องคนดี รู้จักค่าของเงินด้วย โดยถ้ามีรายได้เข้ามา ควรจะต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 คือเก็บไว้ใช้กินเท่าที่จำเป็น ส่วนที่ 2 คือ ออมเงินในธนาคาร และส่วนที่ 3 คือ เอาไปแบ่งปันให้คนยากจน หรือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งทั้ง 3 แนวทางนี้ (รู้จักใช้ รู้จักเก็บ รู้จักแบ่งปัน) จะหลอมให้ลูกมีน้ำใจ และไม่แก่งแย่งชิงดีต่อกัน "คนดี" คนนี้ เด็กดีของแม่-คนรอบข้าง หลังจากที่ทีมงานฟังคุณแม่คนเก่งเล่าละครชีวิตนอกบทของเธอเสร็จ ก็ได้หันไปมองดูน้องน้องคนดีกำลังนั่งระบายสีอยู่ข้างๆ คุณแม่ โดยที่ไม่รบกวนการสัมภาษณ์ในครั้งนี้แต่อย่างใดเลย ทีมงานจึงถือโอกาสถามคำถามแรกกับเธอถึงแม่คนนี้ ซึ่งเธอเปิดใจใสๆ ออกมาว่า "คุณ แม่หนูเป็นคนเก่ง หนูภูมิใจในตัวคุณแม่ คุณแม่สอนให้หนูรู้จักคิด เวลาข้ามถนนเราต้องมองซ้ายมองขวาว่ารถมันวิ่งทางไหน แต่ถ้ารถยังวิ่งอยู่ ก็รอให้ไฟแดงก่อน แล้วค่อยข้ามทางม้าลาย" อย่างไรก็ดี เวลาคุณแม่กลับมาจากที่ทำงานเหนื่อยๆ น้องคนดีจะเป็นผู้ช่วยให้คุณแม่หายเหนื่อยอยู่เสมอ ซึ่งเธอเผยเสียงเล็กๆ ออกมาว่า "เวลาคุณแม่กลับบ้าน หนูจะเก็บรองเท้าให้คุณแม่" และทุกครั้งที่คุณแม่จะออกไปทำงาน น้องคนดีจะพูดอวยพรว่า "คุณแม่ขา ขอให้คุณแม่มีตังค์เยอะๆ นะคะ" เมื่อถามต่อไปว่า ถ้าคุณแม่แก่ตัวไป น้องคนดีจะทำอะไร ทีมงานได้รับคำตอบที่น่าชื่นใจว่า "หนูจะช่วยคุณแม่ขับรถ และหาตังค์มาให้คุณแม่เยอะๆ และหนูก็ไม่กลัวเหนื่อยด้วยค่ะ" สุด ท้ายทีมงานได้ให้น้องคนดีส่งกำลังใจถึงคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอเผยว่า "หนูขอให้คุณแม่มีงานละครเข้ามาเยอะๆ ขอให้คุณแม่รวยๆ หนูรักคุณแม่ค่ะ รักเต็ม 10 เลยค่ะ" และนี่ก็คือความชื่นใจ ที่คุณแม่แวร์โซวสอน และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกมาตั้งแต่เล็ด ผลที่ได้ตามมา จึงเป็นสิ่งที่เธอภูมิใจ และบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่า "ทุกวันนี้เราจะทำเพื่อเขา เรารักเขาให้มากที่สุด" แง่คิดเลี้ยงลูกสะท้อนถึงพ่อแม่ยุคใหม่ "พ่อแม่ยุคใหม่ ไม่ค่อยมีเวลาก็จริง แต่ควรสอนลูกให้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวบ้าง บางครอบครัวมีธุรกิจขายของ แต่ลูกไม่รู้จักของที่พ่อแม่ขายเลย จบมากินเงินพ่อแม่ การจะสืบทอดกิจการก็ทำไม่ได้ เพราะทำไม่เป็น ต้องมาเริ่มนับ 1 ใหม่ ซึ่งจะโทษเด็กอย่างเดียวไม่ได้ ทางที่ดี ควรปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้สิ่งรอบตัว โตขึ้นมามีกินมีใช้ทุกวันนี้จากอะไร เช่น ใครเป็นแม่ค้าขายปลา ก็สอนตั้งแต่เด็กไปเลยว่า วิธีเลือกปลาดูจากอะไร วิธีทำปลาทำอย่างไร ไม่ใช่แม่ก็ขายไป ลูกก็นั่งเป็นคุณนาย คุณชาย ไม่สนใจอะไรเลย แบบนี้มันก็ไม่ถูกนะ เพราะนอกจากเรียนสูงๆ แล้ว ใช่ว่าจะจบออกมาหางานทำกันกันได้ง่ายๆ มันต้องมีความรู้เรื่องอื่นๆ บ้าง เช่นกันกับพี่ ที่ทุกวันนี้น้องแสดงละครได้เพราะอะไร เพราะแม่พาไปเรียนรู้งานที่กองถ่าย เพื่อจะได้รู้ว่า แม่ทำงานอะไร และเข้าใจว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาได้ มันมาจากไหน" | |||||
จากชีวิตของเธอ คงจะปฏิเสธได้ยากว่า การเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ต้องทำหน้าที่ และรับผิดชอบมากกว่าครอบครัวอื่นหลายเท่า ซึ่งเธอเองก็เครียดไม่ต่างไปจากคนอื่น "ตอนลูกเข้าอนุบาล 1 พี่ก็เครียดนะ เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะ บวกกับช่วงนั้นพี่มีปัญหาเรื่องบ้าน พี่ซื้อบ้าน ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ขณะที่รายรับก็ไม่ค่อยมีเข้ามา พี่ยอมรับว่า พี่มีอาการหงุดหงิด เครียด มองไม่เห็นทางออก จึงยอมเสียศักดิ์ศรีโทรศัพท์ไปทวงเงินที่คุณแม่ของอดีตคนรักที่โกงเงินไป แต่เรื่องก็หายไปในอากาศ พี่ก็เลยตัดสินใจว่า เรามีเวรมีกรรมต่อกัน แล้วพี่ก็ได้ใช้เวรใช้กรรม และอโหสิกรรมให้แล้ว ซึ่งต่อให้พี่อดตาย ก็จะไม่โทรไปวุ่นวายกับบ้านนี้อีก ถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็ยอมเหนื่อยเพื่อลูก" "ดัง นั้นปัญหาทุกอย่าง กำลังใจอยู่ที่เรา ความสุขเกิดได้จากใจเราเอง ไม่ต้องไปมองว่าบ้านโน้นเขามีครบ ฐานะดีกว่าเรา ทำไมเราต้องมาอยู่ในสถานะแบบนี้ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะคุณกำลังโทษ และตอกย้ำตัวเอง ทางที่ดี ควรมองที่ตัวเราว่าทุกวันนี้เรามีความสุขดีไหม เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า ซึ่งแวร์เชื่อว่าทุกคนเหนื่อยด้วยกันหมด แต่ถ้าเหนื่อย ก็ขอให้พักบ้าง หยุดอยู่นิ่งๆ แล้วค่อยหาทางออก มันจะมีความสุขเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าพอเราเหนื่อยก็ยิ่งดิ้นรนแก้ปัญหา ในที่สุด เราก็จะหาทางออกไม่เจอ เปรียบได้กับการแก้ปมของเชือก ถ้ามีอยู่ 10 ปม แล้วไปแก้ทั้ง 10 ปมทีเดียว มันก็จะยิ่งเครียด แต่ถ้าค่อยๆ คลายปมที่ 1 ออก ปมที่ 2 3 4 ก็จะคลายออกได้ง่าย ดังนั้น เมื่อต้องเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ขอให้แก้ทีละอย่าง แก้ทีละเรื่อง และใจเย็นๆ" ท้อง แท้ง ทิ้ง แก้ได้ถ้าผู้ใหญ่ใจกว้าง ทิ้งท้ายกันด้วยประเด็น "ท้อง แท้ง ทิ้ง" ในสังคมไทย ที่นับวันยิ่งบานเบ่งจนขาดความรับผิดชอบกันมากขึ้น กลายเป็นค่านิยมที่ใครๆ ก็ทำกันได้ กับเรื่องนี้ คุณแม่คนเก่ง สะท้อนแง่ให้คิดว่า "พี่เข้าใจอารมณฺ์ของเด็กวัยรุ่นนะ เพราะพี่เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาก่อน เพราะพี่โตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกกันอยู่ จากปัญหาการท้องของเด็กวันรุ่น บางครั้งมันก็คิดไม่ตก บวกกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะพ่อแม่พี่น้อง หรือสังคม ไม่ได้มีการแบ่งปัน หรือแนะนำในส่วนที่ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะสังคมยังตีค่าว่า ถ้าท้องในวัยที่ไม่เหมาะสม ถ้าคุณท้องโดยที่ยังไม่แต่งงาน อายชาวบ้านเขา แต่ สิ่งอยากจะบอกกับพ่อแม่ทุกคนคือ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก เพราะถ้าเด็กรู้วิธีที่ถูกต้อง และมีสติ ก็คงจะไม่ทำอะไรที่มันผิดพลาดแบบนั้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คนรอบข้างที่เป็นผู้ใหญ่ควรจะให้คำแนะนำ พร้อมกับหาทางแก้ที่เหมาะสม ที่สำคัญต้องให้กำลังใจว่าครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนนะลูก และครั้งหน้าอย่าพลาดอีก โดยที่ไม่ไปตอกย้ำให้เด็กยิ่งรู้สึกผิด เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเด็กพลาดอีก เขาก็เอาลูกออกอีก ปัญหามันก็ไม่จบ” คุณแม่แวร์โซวฝากทิ้งท้ายถึงพ่อแม่ทุกคน และ ทั้งหมดนี้ คือ ทุกแง่มุมชีวิต และความคิดนอกบทของ "แวร์ โซว" คุณแม่ดาราเลี้ยงเดี่ยวยอดนักสู้ ตัวอย่างที่น่ายกย่อง และชื่นชม ^_^ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อารายเหรอ