วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนมาจากลิงจริงหรือ

คนมาจากลิงจริงหรือ





หลุยส์
ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นชัดแล้วว่า ชีวิตไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเองแต่ชีวิตจะต้อง เกิดจากชีวิตเท่านั้น ซึ่งชาร์ล ดาร์วิน Charles Darwin ผู้เขียนหนังสือ ที่มาของพันธุกรรม” “The Origin of Species” ใน ปี 1859






ก็มีความคิดเห็นที่ เหมือนกันและถ้าจะถามดาร์วินต่อไปว่าชีวิตเกิดมาจากไหน?” เขาก็ได้ตอบในหนังสือของเขาเล่มนี้ว่าชีวิตนั้นได้ถูกสร้างและออก แบบขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง
(
หน้าที่ 458) จากข้อมูลข้างต้นนี้ทำ ให้เราได้เห็นว่า ชาร์ล ดาร์วินเองก็เชื่อว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างชีวิตขึ้นมาเพียงแต่เขา ต้องการอยากจะทราบว่าพระเจ้านั้นสร้างสิ่งมี ชีวิตต่างๆหลายรูปแบบจากเซลล์ เซลล์เดียวหรือ ค่อยๆมีการวิวัฒนาการ โดยเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับภาคของสิ่งมีชีวิตและเห็นว่าความคิดในเรื่องเซลล์ที่มีชีวิตเล็กๆซึ่งเป็นแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนั้นเป็นสิ่งที่จริงในวิทยาศาสตร์เพราะ ฉะนั้นมันน่าจะเป็นไปได้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากการวิวัฒนาการของเซลล์เล็กๆเหล่านี้





ดังนั้นเขาจึงพยายามหาข้อมูลจากสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติเพื่อมาพิสูจน์ทฤษฎีความเชื่อของเขาในหนังสือเล่มนี้ของเขา เองได้อธิบายถึงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ ของเซลล์ที่มีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อมีชีวิต รอดสูงมาก และเมื่อมันอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆมัน ก็จะปรับตัวในการสร้างรูปร่างของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆเพื่อให้ชีวิตของมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยใช้ระยะเวลาและความ บังเอิญในการสร้างรูปร่างของมัน เขาจึงคิดว่ามนุษย์เราน่าจะมาจากสายพันธุ์ของลิงเอป (ape) โดยการใช้ระยะเวลาหลาย ล้านปีในการปรับสภาพรูปร่างจนกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเองซึ่งทฤษฎีนี้ คิดว่ามนุษย์ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒนาการไปเรื่อยๆไม่ได้หยุด ดังนั้นมนุษย์เราในอีกหลายล้านปีข้างหน้าอาจหัวโตขึ้นเพราะใช้สมองมาก และนิ้วมืออาจะเล็กลงเพราะใช้แต่นิ้วชี้หรือร่างกายภายในอาจจะมีการปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ได้แม้ใน สภาพที่มีออกซิเจนในอากาศอยู่น้อยก็ตาม





และถ้ามีคนถามชา ร์ล ดาร์วินว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่ง มีชีวิตมากมายหลายพันธุ์อะไรเป็นตัวคัดเลือกว่า เซลล์นี้ควรจะเป็นปลาวาฬ เซลล์นี้ควรจะเป็นผีเสื้อเซลล์นี้ควรจะเป็นแรด เซลล์นี้ควรจะเป็นคน... ซึ่งชาร์ล ดาร์วินได้ตอบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชนิดต่างๆก็เพราะผ่านกระบวนการคัดเลือกทาง ธรรมชาตินั่นเองซึ่งถ้าเราจะสรุปข้อสมมติฐานใน เรื่องนี้ของดาร์วิน


ก็จะสามารถสรุปได้
3 ประการ แต่ทั้ง 3 ประการนี้ล้วนแต่สามารถมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น



1. การที่เกิดสิ่งมี ชีวิตสายพันธุ์ต่างๆในโลกก็เพราะสิ่งมีชีวิต ต่างๆได้ผ่านกระบวนการปรับตัวทางสภาพแวดล้อมเพื่อ ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย
แต่เราจะเห็นได้ว่าทำไมสิ่งมีชีวิตที่ชาร์ลดาร์วินบอกว่าวิวัฒนาการได้ดีที่สุดคือมนุษย์กลับมี ปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของเขามากที่สุด
เมื่อเราเห็นลูกของ สัตว์ต่างๆที่คลอดออกมาใหม่เราก็จะเห็นว่ามัน สามารถที่จะปรับตัวของมันได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะมีชีวิตรอด แต่มนุษย์เราเมื่อคลอดออกมาแลวนั้นกลับต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะสามารถปรับตัวให้สามารถช่วยตัวเองให้อยู่รอดได้
ดังนั้นการอธิบายเช่น นี้จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เชื่อถือได้เลย



2. สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆอาจจะ เกิดมาจากการผสมข้ามพันธุ์แล้วเกิดพันธุ์ใหม่ขึ้น
ดูเหมือนว่าน่าจะเป็น อย่างนั้น แต่เป็นไปไม่ได้เลยในความเป็นจริง เมื่อม้าผสมกับลา ก็จะออกมาเป็นล่อซึ่งเป็น สัตว์ในสปีชีส์เดียวกัน แต่ล่อที่ออกมานั้นจะเป็นหมันทำให้ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ทำให้มันไม่สามารถเกิดการผ่าเหล่าได้เลย
นี่คงจะเป็นระบบที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้มี สัตว์ประหลาดเกิดขึ้น !




3. การเกิดสิ่งมีชีวิตหลายสาย พันธุ์นั้น อาจเกิดมาจากการกลายพันธุ์
สมมติฐานนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะ วงการแพทย์เองก็รู้ดีว่าการผิดปกติทางพันธุ กรรมจะก่อให้เกิดผลในแง่ลบมากกว่าแง่บวก เช่นถ้า ภายในร่างกายเกิดสิ่งผิดปกติ ก็อาจจะกลายเป็นมะเร็งหรือว่าถ้ามีเด็กเกิดมาแล้วมีอวัยวะโตผิดปกตินั้นไม่ใช่รูปร่างที่สวยงามเลย แต่เมื่อเราดูสิ่งมีชีวิตต่างๆในโลกเราจะเห็น ได้ว่ามันมีรูปร่างที่สวยงามและสมส่วนซึ่งถ้าจะ บอกว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมของพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้าง ก็จะเชื่อได้ง่ายกว่าการที่จะบอกว่ามาจากความบังเอิญเพราะความบังเอิญคงไม่สามารถสร้างสิ่งสวยงามได้ เช่น ถ้ามีคนบอกว่าบังเอิญทำแก้วหล่นแตก แล้วเศษแก้วบังเอิญประกอบกันเป็นภาพโมนาลิซ่าคุณ จะเชื่อมั้ย? ...ไม่ มีทางครับ!ถึงแม้มันจะตกลงไปเป็นล้านครั้งก็ เกิดภาพสวยงามขึ้นโดยบังเอิญไม่ได้หรอกสิ่งที่ จะเกิดก็จะมีแต่ความเละเทะ









อีกอย่างวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าหากมีการวิวัฒนาการเกิดขึ้นในระดับของเซลล์ร่างกาย (Somatic cell) เซลล์ชนิดนี้ เมื่อเกิดมิวเทชันแล้ว จะไม่สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไป
จากเหตุผลข้างต้นเราจะเห็นว่าทฤษฎีนี้มีน้ำหนักน้อยมากและทฤษฎีนี้ยังขาดหลักฐานและข้อมูลอยู่สอง ประการคือ Missing Link (ซากฟอสซิลของสัตว์ผสมที่กำลังกลายรูปร่าง)และข้อมูลเรื่องของการทำงานของระบบต่างๆในตัวของมนุษย์และ สัตว์ว่าแตกต่างหรือเหมือนกันเพียงไรไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบทางเดินของเลือดและการทำงานของ DNA
ชาร์ล ดาร์วิน ได้กล่าวด้วยตัวเขาเองว่า ทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ข้อมูลหรือข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่า นั้นทฤษฎีนี้ยังขาดข้อพิสูจน์หลายอย่างดังนั้นถ้าในอนาคตมีใครที่จะสามารถอธิบายได้ว่าระบบการทำงานภายในร่างกายของมนุษย์และสัตว์นั้นต่างกันอย่าง สิ้นเชิงได้เขาค้นนั้นก็จะสามารถลบล้างคำอธิบาย เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการของข้าพเจ้าได้เลย
และเมื่อไม่กี่ปีมา นี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่าDarwin Black Box : The Biochemical to Evolutionเขียน โดยMichael J. Beheนักชีววิทยาชาวอเมริกาได้เขย่าวงการทฤษฎีวิวัฒนาการอย่าง รุนแรงโดยเขาชี้ให้เห็นว่าการทำงานของระบบภายใน มนุษย์และสัตว์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเมื่อบรรดานักชีววิทยาทำการตรวจสอบข้อมูลที่เขานำเสนอ ก็เห็นว่าเป็นจริง






Credit to อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
By TheOffspring __________________


คนมาจากลิงจริงหรือ

ในท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาตินั้น ได้มีนักค้นคว้าหลายร้อยหลายพันคนที่พยายามจะค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า "มนุษย์มาจากไหน" ... และหลายครั้งเมื่อเราถามคนทั่วไปว่า "คนมาจากไหน" ... ถ้าเราลองถาม-ตอบดูเล่น ๆ ก็คงจะถาม-ตอบว่า "คนมาจากพ่อของคน"... "แล้วพ่อของคนมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของพ่อคนอีกที"... "แล้วคนคนแรกมาจากไหน" ..."มาจากลิง" ...."แล้วลิงมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของลิง" ... "แล้วพ่อของลิงมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของพ่อลิงอีกที" ..."แล้วลิงตัวแรกละมาจากไหน" ..."มาจากเซลล์" ..."แล้ว เซลล์มาจากไหน"..."มาจากพ่อของพ่อเซลล์อีกที" ... "แล้วเซลล์ตัวแรกมาจากไหน" ...เมื่อมาถึงคำถามนี้ คนทั่วไปก็ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไร ...บางคนก็ตอบว่า "ไม่รู้เหมือนกัน" หรือบางคนก็ตอบว่า "คงเกิดขึ้นเองมั๊ง" ...

หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้า ได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นชัดเจนว่า ชีวิตไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเอง แต่ชีวิตจะต้องเกิดจากชีวิตเท่านั้น ซึ่ง ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้เขียนหนังสือ "ที่มาของพันธุกรรม" (The origin of Species - ค.ศ.1859) ได้กล่าวไว้ว่า "ไม่มีทางที่ชีวิตจะเกิดขึ้นเองได้ แต่ต้องเกิดจากชีวิต" และถ้าจะถามดาร์วินต่อไปว่า "ชีวิตเกิดมาจากไหน" ..เขาก็ได้ตอบในหนังสือของเขาเล่มนี้ว่า "ชีวิตนั้นถูกสร้างและออกแบบขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง" (หน้า 458)

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้เราเห็นชัดว่า ชีวิตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างขึ้น เพียงแต่ดาร์วินต้องการอยากจะทราบว่า พระเจ้านั้นสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หลายรูปแบบจากเซลล์เซลล์เดียว หรือค่อย ๆ วิวัฒนาการ โดยเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวภาคของสิ่งมีชีวิต และเห็นว่าความคิดในเรื่องเซลล์ที่มีชีวิตเล็ก ๆ นั้น เป็นแหล่งที่มาของชีวิตทุกชีวิตในโลกเป็นสิ่งที่จริงในวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมันน่าจะเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกมาจากการวิวัฒนาการของเซลล์เล็ก ๆ เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามหาข้อมูลและสิ่งที่ปรากฎในธรรมชาติเพื่อมาพิสูจน์ทฤษฎี ความเชื่อของเขา ในหนังสือเล่มนี้ของเขาได้อธิบายถึงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ของเซลล์ ที่มีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่สูงมาก และเมื่อมันอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ๆ มันก็จะปรับตัวในการสร้างรูปร่างของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ เพื่อให้ชีวิตของมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยใช้ระยะเวลาและความบังเอิญในการ สร้างรูปร่างของมัน ซึ่งมนุษย์เราก็มาจากสายพันธ์ของลิงเอป (ape) โดยการใช้ระยะเวลาหลายล้านปีในการปรับสภาพรูปร่างจนกลายเป็นรูปร่างของ มนุษย์ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด ดังนั้นในอนาคตอีกหลายล้านปีข้างหน้า มนุษย์อาจจะมีหัวโตขึ้นเพราะใช้สมองมาก และนิ้วมืออาจจะเล็กลงเพราะใช้แต่นิ้วชี้ หรือร่างกายภายในอาจจะมีการปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้จะมีอ๊อกซิเจนไม่ถึง 21 % ในอากาศก็ตาม และถ้ามีคนถามชาร์ล ดาวินว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากมายหลายพันธุ์ อะไรเป็นตัวคัดเลือกกำหนดรูปร่างของพวกมัน แต่เป็นขบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติในการมีชีวิตของมันเอง ที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่าง ๆ ขึ้น

สรุป ทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน ความจริงที่ปฏิเสธทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน
1. การที่เกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่าง ๆ ในโลกก็เพราะการที่ชีวิตมีการปรับตัว ปรับสภาพร่างกายตามสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย





1. ถ้าสิ่งมีชีวิตมาจากการปรับสภาพตามสภาพแวดล้อมเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำไมสิ่งมีชีวิตที่ชาร์ล ดาร์วิน บอกว่าวิวัฒนาการได้ดีที่สุดคือ "มนุษย์" กลับมีปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของเขามากที่สุด เมื่อเราเห็นลูกของสัตว์ต่าง ๆ ที่คลอดออกมาใหม่ ๆ เราเห็นว่ามันสามารถที่จะปรับตัวของมันได้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด ... แต่มนุษย์เรานั้นเมื่อคลอดออกมากลับต้องใช้เวลาหลายปี จึงจะสามารถปรับตัวช่วยเหลือตนเองได้ ดังนั้นการอธิบายเช่นนี้ของ
ชาร์ล ดาร์วิน จึงไม่มีน้ำหนักที่จะสามารถทำให้เชื่อถือได้
2. สิ่งมีชีวิตมาจากการผสมพันธุ์แบบข้ามพันธุ์ เช่น ม้าผสมลา ออกมาเป็นล่อ เป็นต้น



2. ถ้าว่าสิ่งมีชีวิตมาจากการผสมข้ามพันธุ์แล้วเกิดพันธุ์ใหม่ขึ้น ดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ม้าผสมลาออกมาเป็นล่อ หรืออย่างอื่นผสมกันอกมาเป็นอีกอย่างหนึ่งนั้น มันก็ยังต้องเป็นพันธุ์ที่คล้าย ๆ กัน มันไม่สามารถ "ผ่าเหล่า" ได้เลย เช่น ม้าผสมลา ออกมาเป็นเสือ หรือ สุนัข แต่อกมาเป็น ล่อ ซึ่งยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับมันอยู่ดี
3. สิ่งมีชีวิตมาจากการบังเอิญของการผิดปกติทางพันธุกรรม













3. ถ้าว่าสิ่งมีชีวิตมาจากการบังเอิญของการผิดปกติทางพันธุกรรม ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะวงการแพทย์เองก็รู้ดีว่า การผิดปกติทางพันธุกรรม จะก่อให้เกิดผลในแง่ลบมากกว่าผลในแง่บวก เช่น ถ้าภายในร่างกายเกิดสิ่งผิดปกติ ก็อาจจะกลายเป็นมะเร็ง หรือ เด็กที่เกิดมามีศรีษะขนาดใหญ่ผิดปกติ สมองใหญ่กว่าปกติ หรือ เด็กที่เกิดมามีขนเต็มตัว หรือเด็กที่เกิดมามี 2 เพศ (กระเทยแท้) นั้น ไม่ใช่รูปร่างที่สวยงามเลย ... แต่เมื่อเราดูสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ใน
โลก จะเห็นว่า มันมีรูปร่างที่สวยงามและสมส่วน ถ้าจะอธิบายว่าเกิดจากการออกแบบของผู้ออกแบบชั้นเยี่ยม ก็ง่ายในการเชื่อมากกว่าที่จะอธิบายว่ามาจากการบังเอิญ เพราะส่วนใหญ่แล้ว
การบังเอิญสร้างสันสิ่งที่สวยงามไม่ได้ เช่น ฉันบังเอิญทำแก้วน้ำหล่นแตก และเมื่อมันลงบนพั้น เศษแก้วก็บังเอิญประกอบ
เป็นภาพของโมนาลิซ่า คุณจะเชื่อไหมครับ ไม่มีทาง ถึงแม้มันจะตกลงไปล้านครั้ง ก็บังเอิญเกิดภาพสวยไม่ได้หรอกครับ ... นอกจากความเละเทะ

จากเหตุผลข้างต้นเราจะเห็นว่า การอธิบายของชาร์ ดาร์วินนั้น มีน้ำหนักน้อยมาก แต้แต่ตัวของชารล์ ดาร์วินเองก็ทราบี เขาได้พูดไว้ก่อนตายว่า ทฤษฎีของเขานั้นมีน้ำหนักน้อยมา เพราะขาดหลักฐานสองประการคือ Missing Link (ซากฟอสซิลของสัตว์ผสมที่กำลังกลายรูปร่าง) และเรื่องความแตกต่างระหว่างการทำงานของระบบภายในของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งเขาได้แต่หวังว่าในอนาคตจะมีผู้หาข้อมูลนี้พบ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบ Missing link เช่น ถ้ามนุษย์มาจากลิงจริง เราก็น่าจะค้นพบซากของลิงในขณะที่อยู่ในระหว่างกึ่งกลางที่กำลังวิวัฒนาการ เป็นคน (คนผสมลิง) ...แต่จนถึงปัจจุบันโลกนี้ถูกสำรวจจนพลิกแผ่นดิน ก็ยังไม่มีการค้นพบแม้แต่ชิ้นเดียวและปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีมนุษย์เข้าไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกมุมโลก ก็ยังไม่สามารถค้นพบ Missing ling ได้เลย แต่พวกที่เชื่อในทฤษฎีที่ว่าคนมาจากลิงนั้น ต่างอ้างว่า พวกเขามี Missing อยู่หลายชิ้น แต่ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพิสูจน์ Missing link เหล่านั้น และได้ข้อสรุปออกมาแล้ว่า ไม่ใช่ Missing link และบางชิ้นก็ทำออกมาเพื่อตบตาคนทั่วโลกด้วยซ้ำ ไป

และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบทางเดินของโลหิต และการทำงานของ ดี เอ็น เอ ว่าแตกต่างหรือเหมือนกันเพียงไร ชาร์ล ดาร์วิน กล่าวว่า "ทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่เป็นข้อมูลหรือข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้ายังขาดข้อพิสูจน์อีกหลายอย่าง ดังนั้นถ้าในอนาคตมีใครสามารถที่จะอธิบายได้ว่าระบบการทำงานภายในร่างกายของ มนุษย์และสัตว์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ เขาคนนั้น ก็จะสามารถลบล้างคำอธิบายเรื่องทฤษฎีวิวัฒนษการของข้าพเจ้าได้เลย" ... และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "Darwin Black Box : The Biochemical to Evolution เขียนโดย Michael J.Behe นักชีววิทยาชาวอเมริกาได้เขย่าวงการทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างรุนแรง โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการทำงานของระบบภายในของมนุษย์และสัตว์นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเมื่อบรรดานักชีววิทยาทำการตรวจสอบ



1 ความคิดเห็น:

อารายเหรอ