คนมาจากลิงจริงหรือ
หลุยส์ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นชัดแล้วว่า ชีวิตไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเองแต่ชีวิตจะต้อง เกิดจากชีวิตเท่านั้น ซึ่งชาร์ล ดาร์วิน Charles Darwin ผู้เขียนหนังสือ “ที่มาของพันธุกรรม” “The Origin of Species” ใน ปี 1859
ก็มีความคิดเห็นที่ เหมือนกันและถ้าจะถามดาร์วินต่อไปว่า “ชีวิตเกิดมาจากไหน?” เขาก็ได้ตอบในหนังสือของเขาเล่มนี้ว่า “ชีวิตนั้นได้ถูกสร้างและออก แบบขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง ”
(หน้าที่ 458) จากข้อมูลข้างต้นนี้ทำ ให้เราได้เห็นว่า ชาร์ล ดาร์วินเองก็เชื่อว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างชีวิตขึ้นมาเพียงแต่เขา ต้องการอยากจะทราบว่าพระเจ้านั้นสร้างสิ่งมี ชีวิตต่างๆหลายรูปแบบจากเซลล์ เซลล์เดียวหรือ ค่อยๆมีการวิวัฒนาการ โดยเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับภาคของสิ่งมีชีวิตและเห็นว่าความคิดในเรื่องเซลล์ที่มีชีวิตเล็กๆซึ่งเป็นแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนั้นเป็นสิ่งที่จริงในวิทยาศาสตร์เพราะ ฉะนั้นมันน่าจะเป็นไปได้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากการวิวัฒนาการของเซลล์เล็กๆเหล่านี้
ดังนั้นเขาจึงพยายามหาข้อมูลจากสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติเพื่อมาพิสูจน์ทฤษฎีความเชื่อของเขาในหนังสือเล่มนี้ของเขา เองได้อธิบายถึงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ ของเซลล์ที่มีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อมีชีวิต รอดสูงมาก และเมื่อมันอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆมัน ก็จะปรับตัวในการสร้างรูปร่างของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆเพื่อให้ชีวิตของมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยใช้ระยะเวลาและความ บังเอิญในการสร้างรูปร่างของมัน เขาจึงคิดว่ามนุษย์เราน่าจะมาจากสายพันธุ์ของลิงเอป (ape) โดยการใช้ระยะเวลาหลาย ล้านปีในการปรับสภาพรูปร่างจนกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเองซึ่งทฤษฎีนี้ คิดว่ามนุษย์ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒนาการไปเรื่อยๆไม่ได้หยุด ดังนั้นมนุษย์เราในอีกหลายล้านปีข้างหน้าอาจหัวโตขึ้นเพราะใช้สมองมาก และนิ้วมืออาจะเล็กลงเพราะใช้แต่นิ้วชี้หรือร่างกายภายในอาจจะมีการปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ได้แม้ใน สภาพที่มีออกซิเจนในอากาศอยู่น้อยก็ตาม
และถ้ามีคนถามชา ร์ล ดาร์วินว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่ง มีชีวิตมากมายหลายพันธุ์อะไรเป็นตัวคัดเลือกว่า เซลล์นี้ควรจะเป็นปลาวาฬ เซลล์นี้ควรจะเป็นผีเสื้อเซลล์นี้ควรจะเป็นแรด เซลล์นี้ควรจะเป็นคน... ซึ่งชาร์ล ดาร์วินได้ตอบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชนิดต่างๆก็เพราะผ่านกระบวนการคัดเลือกทาง ธรรมชาตินั่นเองซึ่งถ้าเราจะสรุปข้อสมมติฐานใน เรื่องนี้ของดาร์วิน
ก็จะสามารถสรุปได้ 3 ประการ แต่ทั้ง 3 ประการนี้ล้วนแต่สามารถมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น
1. การที่เกิดสิ่งมี ชีวิตสายพันธุ์ต่างๆในโลกก็เพราะสิ่งมีชีวิต ต่างๆได้ผ่านกระบวนการปรับตัวทางสภาพแวดล้อมเพื่อ ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย
แต่เราจะเห็นได้ว่าทำไมสิ่งมีชีวิตที่ชาร์ลดาร์วินบอกว่าวิวัฒนาการได้ดีที่สุดคือมนุษย์กลับมี ปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของเขามากที่สุด
เมื่อเราเห็นลูกของ สัตว์ต่างๆที่คลอดออกมาใหม่เราก็จะเห็นว่ามัน สามารถที่จะปรับตัวของมันได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะมีชีวิตรอด แต่มนุษย์เราเมื่อคลอดออกมาแลวนั้นกลับต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะสามารถปรับตัวให้สามารถช่วยตัวเองให้อยู่รอดได้
ดังนั้นการอธิบายเช่น นี้จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เชื่อถือได้เลย
2. สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆอาจจะ เกิดมาจากการผสมข้ามพันธุ์แล้วเกิดพันธุ์ใหม่ขึ้น
ดูเหมือนว่าน่าจะเป็น อย่างนั้น แต่เป็นไปไม่ได้เลยในความเป็นจริง เมื่อม้าผสมกับลา ก็จะออกมาเป็นล่อซึ่งเป็น สัตว์ในสปีชีส์เดียวกัน แต่ล่อที่ออกมานั้นจะเป็นหมันทำให้ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ทำให้มันไม่สามารถเกิดการผ่าเหล่าได้เลย
นี่คงจะเป็นระบบที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้มี สัตว์ประหลาดเกิดขึ้น !
3. การเกิดสิ่งมีชีวิตหลายสาย พันธุ์นั้น อาจเกิดมาจากการกลายพันธุ์
สมมติฐานนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะ วงการแพทย์เองก็รู้ดีว่าการผิดปกติทางพันธุ กรรมจะก่อให้เกิดผลในแง่ลบมากกว่าแง่บวก เช่นถ้า ภายในร่างกายเกิดสิ่งผิดปกติ ก็อาจจะกลายเป็นมะเร็งหรือว่าถ้ามีเด็กเกิดมาแล้วมีอวัยวะโตผิดปกตินั้นไม่ใช่รูปร่างที่สวยงามเลย แต่เมื่อเราดูสิ่งมีชีวิตต่างๆในโลกเราจะเห็น ได้ว่ามันมีรูปร่างที่สวยงามและสมส่วนซึ่งถ้าจะ บอกว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมของพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้าง ก็จะเชื่อได้ง่ายกว่าการที่จะบอกว่ามาจากความบังเอิญเพราะความบังเอิญคงไม่สามารถสร้างสิ่งสวยงามได้ เช่น ถ้ามีคนบอกว่าบังเอิญทำแก้วหล่นแตก แล้วเศษแก้วบังเอิญประกอบกันเป็นภาพโมนาลิซ่าคุณ จะเชื่อมั้ย? ...ไม่ มีทางครับ!ถึงแม้มันจะตกลงไปเป็นล้านครั้งก็ เกิดภาพสวยงามขึ้นโดยบังเอิญไม่ได้หรอกสิ่งที่ จะเกิดก็จะมีแต่ความเละเทะ
อีกอย่างวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าหากมีการวิวัฒนาการเกิดขึ้นในระดับของเซลล์ร่างกาย (Somatic cell) เซลล์ชนิดนี้ เมื่อเกิดมิวเทชันแล้ว จะไม่สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไป
จากเหตุผลข้างต้นเราจะเห็นว่าทฤษฎีนี้มีน้ำหนักน้อยมากและทฤษฎีนี้ยังขาดหลักฐานและข้อมูลอยู่สอง ประการคือ Missing Link (ซากฟอสซิลของสัตว์ผสมที่กำลังกลายรูปร่าง)และข้อมูลเรื่องของการทำงานของระบบต่างๆในตัวของมนุษย์และ สัตว์ว่าแตกต่างหรือเหมือนกันเพียงไรไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบทางเดินของเลือดและการทำงานของ DNA
ชาร์ล ดาร์วิน ได้กล่าวด้วยตัวเขาเองว่า “ ทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ข้อมูลหรือข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่า นั้นทฤษฎีนี้ยังขาดข้อพิสูจน์หลายอย่างดังนั้นถ้าในอนาคตมีใครที่จะสามารถอธิบายได้ว่าระบบการทำงานภายในร่างกายของมนุษย์และสัตว์นั้นต่างกันอย่าง สิ้นเชิงได้เขาค้นนั้นก็จะสามารถลบล้างคำอธิบาย เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการของข้าพเจ้าได้เลย”
และเมื่อไม่กี่ปีมา นี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่าDarwin Black Box : The Biochemical to Evolutionเขียน โดยMichael J. Beheนักชีววิทยาชาวอเมริกาได้เขย่าวงการทฤษฎีวิวัฒนาการอย่าง รุนแรงโดยเขาชี้ให้เห็นว่าการทำงานของระบบภายใน มนุษย์และสัตว์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเมื่อบรรดานักชีววิทยาทำการตรวจสอบข้อมูลที่เขานำเสนอ ก็เห็นว่าเป็นจริง
Credit to อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
By TheOffspring __________________
คนมาจากลิงจริงหรือ
ในท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาตินั้น ได้มีนักค้นคว้าหลายร้อยหลายพันคนที่พยายามจะค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า "มนุษย์มาจากไหน" ... และหลายครั้งเมื่อเราถามคนทั่วไปว่า "คนมาจากไหน" ... ถ้าเราลองถาม-ตอบดูเล่น ๆ ก็คงจะถาม-ตอบว่า "คนมาจากพ่อของคน"... "แล้วพ่อของคนมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของพ่อคนอีกที"... "แล้วคนคนแรกมาจากไหน" ..."มาจากลิง" ...."แล้วลิงมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของลิง" ... "แล้วพ่อของลิงมาจากไหน" ..."มาจากพ่อของพ่อลิงอีกที" ..."แล้วลิงตัวแรกละมาจากไหน" ..."มาจากเซลล์" ..."แล้ว เซลล์มาจากไหน"..."มาจากพ่อของพ่อเซลล์อีกที" ... "แล้วเซลล์ตัวแรกมาจากไหน" ...เมื่อมาถึงคำถามนี้ คนทั่วไปก็ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไร ...บางคนก็ตอบว่า "ไม่รู้เหมือนกัน" หรือบางคนก็ตอบว่า "คงเกิดขึ้นเองมั๊ง" ... |
หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้า ได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นชัดเจนว่า ชีวิตไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเอง แต่ชีวิตจะต้องเกิดจากชีวิตเท่านั้น ซึ่ง ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้เขียนหนังสือ "ที่มาของพันธุกรรม" (The origin of Species - ค.ศ.1859) ได้กล่าวไว้ว่า "ไม่มีทางที่ชีวิตจะเกิดขึ้นเองได้ แต่ต้องเกิดจากชีวิต" และถ้าจะถามดาร์วินต่อไปว่า "ชีวิตเกิดมาจากไหน" ..เขาก็ได้ตอบในหนังสือของเขาเล่มนี้ว่า "ชีวิตนั้นถูกสร้างและออกแบบขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง" (หน้า 458) |
จากข้อมูลข้างต้น ทำให้เราเห็นชัดว่า ชีวิตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างขึ้น เพียงแต่ดาร์วินต้องการอยากจะทราบว่า พระเจ้านั้นสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หลายรูปแบบจากเซลล์เซลล์เดียว หรือค่อย ๆ วิวัฒนาการ โดยเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวภาคของสิ่งมีชีวิต และเห็นว่าความคิดในเรื่องเซลล์ที่มีชีวิตเล็ก ๆ นั้น เป็นแหล่งที่มาของชีวิตทุกชีวิตในโลกเป็นสิ่งที่จริงในวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมันน่าจะเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกมาจากการวิวัฒนาการของเซลล์เล็ก ๆ เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามหาข้อมูลและสิ่งที่ปรากฎในธรรมชาติเพื่อมาพิสูจน์ทฤษฎี ความเชื่อของเขา ในหนังสือเล่มนี้ของเขาได้อธิบายถึงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ของเซลล์ ที่มีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่สูงมาก และเมื่อมันอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ๆ มันก็จะปรับตัวในการสร้างรูปร่างของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ เพื่อให้ชีวิตของมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยใช้ระยะเวลาและความบังเอิญในการ สร้างรูปร่างของมัน ซึ่งมนุษย์เราก็มาจากสายพันธ์ของลิงเอป (ape) โดยการใช้ระยะเวลาหลายล้านปีในการปรับสภาพรูปร่างจนกลายเป็นรูปร่างของ มนุษย์ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด ดังนั้นในอนาคตอีกหลายล้านปีข้างหน้า มนุษย์อาจจะมีหัวโตขึ้นเพราะใช้สมองมาก และนิ้วมืออาจจะเล็กลงเพราะใช้แต่นิ้วชี้ หรือร่างกายภายในอาจจะมีการปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้จะมีอ๊อกซิเจนไม่ถึง 21 % ในอากาศก็ตาม และถ้ามีคนถามชาร์ล ดาวินว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากมายหลายพันธุ์ อะไรเป็นตัวคัดเลือกกำหนดรูปร่างของพวกมัน แต่เป็นขบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติในการมีชีวิตของมันเอง ที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่าง ๆ ขึ้น |
สรุป ทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน | ความจริงที่ปฏิเสธทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน | |
1. การที่เกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่าง ๆ ในโลกก็เพราะการที่ชีวิตมีการปรับตัว ปรับสภาพร่างกายตามสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย | 1. ถ้าสิ่งมีชีวิตมาจากการปรับสภาพตามสภาพแวดล้อมเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำไมสิ่งมีชีวิตที่ชาร์ล ดาร์วิน บอกว่าวิวัฒนาการได้ดีที่สุดคือ "มนุษย์" กลับมีปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของเขามากที่สุด เมื่อเราเห็นลูกของสัตว์ต่าง ๆ ที่คลอดออกมาใหม่ ๆ เราเห็นว่ามันสามารถที่จะปรับตัวของมันได้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด ... แต่มนุษย์เรานั้นเมื่อคลอดออกมากลับต้องใช้เวลาหลายปี จึงจะสามารถปรับตัวช่วยเหลือตนเองได้ ดังนั้นการอธิบายเช่นนี้ของ ชาร์ล ดาร์วิน จึงไม่มีน้ำหนักที่จะสามารถทำให้เชื่อถือได้ | |
2. สิ่งมีชีวิตมาจากการผสมพันธุ์แบบข้ามพันธุ์ เช่น ม้าผสมลา ออกมาเป็นล่อ เป็นต้น | 2. ถ้าว่าสิ่งมีชีวิตมาจากการผสมข้ามพันธุ์แล้วเกิดพันธุ์ใหม่ขึ้น ดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ม้าผสมลาออกมาเป็นล่อ หรืออย่างอื่นผสมกันอกมาเป็นอีกอย่างหนึ่งนั้น มันก็ยังต้องเป็นพันธุ์ที่คล้าย ๆ กัน มันไม่สามารถ "ผ่าเหล่า" ได้เลย เช่น ม้าผสมลา ออกมาเป็นเสือ หรือ สุนัข แต่อกมาเป็น ล่อ ซึ่งยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับมันอยู่ดี | |
3. สิ่งมีชีวิตมาจากการบังเอิญของการผิดปกติทางพันธุกรรม | 3. ถ้าว่าสิ่งมีชีวิตมาจากการบังเอิญของการผิดปกติทางพันธุกรรม ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะวงการแพทย์เองก็รู้ดีว่า การผิดปกติทางพันธุกรรม จะก่อให้เกิดผลในแง่ลบมากกว่าผลในแง่บวก เช่น ถ้าภายในร่างกายเกิดสิ่งผิดปกติ ก็อาจจะกลายเป็นมะเร็ง หรือ เด็กที่เกิดมามีศรีษะขนาดใหญ่ผิดปกติ สมองใหญ่กว่าปกติ หรือ เด็กที่เกิดมามีขนเต็มตัว หรือเด็กที่เกิดมามี 2 เพศ (กระเทยแท้) นั้น ไม่ใช่รูปร่างที่สวยงามเลย ... แต่เมื่อเราดูสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ใน โลก จะเห็นว่า มันมีรูปร่างที่สวยงามและสมส่วน ถ้าจะอธิบายว่าเกิดจากการออกแบบของผู้ออกแบบชั้นเยี่ยม ก็ง่ายในการเชื่อมากกว่าที่จะอธิบายว่ามาจากการบังเอิญ เพราะส่วนใหญ่แล้ว การบังเอิญสร้างสันสิ่งที่สวยงามไม่ได้ เช่น ฉันบังเอิญทำแก้วน้ำหล่นแตก และเมื่อมันลงบนพั้น เศษแก้วก็บังเอิญประกอบ เป็นภาพของโมนาลิซ่า คุณจะเชื่อไหมครับ ไม่มีทาง ถึงแม้มันจะตกลงไปล้านครั้ง ก็บังเอิญเกิดภาพสวยไม่ได้หรอกครับ ... นอกจากความเละเทะ |
จากเหตุผลข้างต้นเราจะเห็นว่า การอธิบายของชาร์ ดาร์วินนั้น มีน้ำหนักน้อยมาก แต้แต่ตัวของชารล์ ดาร์วินเองก็ทราบี เขาได้พูดไว้ก่อนตายว่า ทฤษฎีของเขานั้นมีน้ำหนักน้อยมา เพราะขาดหลักฐานสองประการคือ Missing Link (ซากฟอสซิลของสัตว์ผสมที่กำลังกลายรูปร่าง) และเรื่องความแตกต่างระหว่างการทำงานของระบบภายในของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งเขาได้แต่หวังว่าในอนาคตจะมีผู้หาข้อมูลนี้พบ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบ Missing link เช่น ถ้ามนุษย์มาจากลิงจริง เราก็น่าจะค้นพบซากของลิงในขณะที่อยู่ในระหว่างกึ่งกลางที่กำลังวิวัฒนาการ เป็นคน (คนผสมลิง) ...แต่จนถึงปัจจุบันโลกนี้ถูกสำรวจจนพลิกแผ่นดิน ก็ยังไม่มีการค้นพบแม้แต่ชิ้นเดียวและปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีมนุษย์เข้าไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกมุมโลก ก็ยังไม่สามารถค้นพบ Missing ling ได้เลย แต่พวกที่เชื่อในทฤษฎีที่ว่าคนมาจากลิงนั้น ต่างอ้างว่า พวกเขามี Missing อยู่หลายชิ้น แต่ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพิสูจน์ Missing link เหล่านั้น และได้ข้อสรุปออกมาแล้ว่า ไม่ใช่ Missing link และบางชิ้นก็ทำออกมาเพื่อตบตาคนทั่วโลกด้วยซ้ำ ไป |
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบทางเดินของโลหิต และการทำงานของ ดี เอ็น เอ ว่าแตกต่างหรือเหมือนกันเพียงไร ชาร์ล ดาร์วิน กล่าวว่า "ทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่เป็นข้อมูลหรือข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้ายังขาดข้อพิสูจน์อีกหลายอย่าง ดังนั้นถ้าในอนาคตมีใครสามารถที่จะอธิบายได้ว่าระบบการทำงานภายในร่างกายของ มนุษย์และสัตว์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ เขาคนนั้น ก็จะสามารถลบล้างคำอธิบายเรื่องทฤษฎีวิวัฒนษการของข้าพเจ้าได้เลย" ... และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "Darwin Black Box : The Biochemical to Evolution เขียนโดย Michael J.Behe นักชีววิทยาชาวอเมริกาได้เขย่าวงการทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างรุนแรง โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการทำงานของระบบภายในของมนุษย์และสัตว์นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเมื่อบรรดานักชีววิทยาทำการตรวจสอบ |
คุณก้อยเชื่อไหมครับว่า พระเจ้ามีจริงๆ
ตอบลบ