สิ่งที่ท่านจะได้รับจากคดีนี้
- รูปแบบอาชญากรรม
- เทคนิคการสืบสวน
ท่านทราบหรือไม่ ต่างชาติเข้ามาก่ออาชญากรรมในบ้านเราจำนวนมาก คงนึกว่าระบบป้องกันและการติดตามของเรากระจอก คดีเรื่องนี้จะสะท้อนให้เห็น การประกอบอาชญากรรมของวายร้ายจากจีนแผ่นดินใหญ่ มีการวางแผนอย่างดี ล่อหลอกตบตาเจ้าหน้าที่ แต่ไม่พ้นฝีมือตำรวจไทย การสืบสวนแกะรอยติดตามคนร้ายคดีนี้ นับว่าฝีมือชั้นเซียนทีเดียว
ประเทศไทยเป็นแหล่งลี้ภัยซุกซ่อนตัวของเหล่าอาชญากรข้ามชาติ คนร้ายหลายสัญชาติกระทำผิดแล้วหลบหนีเข้ามาอยู่เมืองไทย รวมทั้งปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง เข้ามาแย่งอาชีพคนไทย ระบบการตรวจสอบของเรายังไม่มีประสิทธิภาพ ขาดความร่วมมือจากประชาชน ในการที่จะช่วยสอดส่อง เป็นหูเป็นตา แจ้งข้อมูลเบาะแส เวลาเดียวกันประเทศเรา อ้าแขนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถ้าหากอาชญากรข้ามชาติหลบหนีเข้ามาอยู่เมืองไทยแล้วทำตัวดีๆ เงียบๆ ไม่สร้างปัญหา รับรองอยู่ได้สบายๆ ต่างชาติในประเทศไทยแบ่งพื้นที่กันอยู่และทำมาหากิน แต่ละชาติจะสังคมอยู่แต่ในกลุ่มของตัวเอง ไม่รุกรานก่อเรื่องในแดนของชาติอื่น
ในกรุงเทพ ย่านซอยนานา ถนนสุขุมวิทเป็นกลุ่มมิดเดิลอีสต์ พวกอาหรับ อีรัก อีหร่าน ย่านพัฒน์พงษ์ ถนนสีลมและซอยคาวบอยถนนสุขุมวิทจะเป็นพวกฝรั่งชาติต่างๆ พวกคนดำจะอยู่แถวหลังโรงแรมอินทราย่านประตูน้ำ ญี่ปุ่นอยู่แถวถนนธนิยะหัวถนนสีลม-สุรวงศ์ พวกเกาหลีรวมกันอยู่คอนโดฯสูง ๗-๘ แท่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถวถนนพระราม ๓ ต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกัน ที่พัทยา ภูเกต และจังหวัดอื่นๆ มีคนต่างชาติอยู่เกือบจะทุกจังหวัด ส่วนพวกกุมารจีน (จีนแผ่นดินใหญ่ จีนฮ่องกง ไต้หวัน ) จะผสมปนเปอยู่ทั่วไป จีนสัญชาติไทยกับจีนต่างด้าวในบ้านเรา มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แยกไม่ค่อยออก ถ้าหากพูดไทยได้ แม้จะชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง จะไม่มีทางรู้ได้เลย คนต่างชาติเหล่านี้ขยันขันแข็ง ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินสร้างฐานะ พาลูกหลานญาติพี่น้องเข้ามาอยู่เมืองไทย
แต่ก็มีบางพวกเข้ามาประกอบอาชญากรรม ส่วนใหญ่จะเป็นแก๊งคนจีน บรรดาสื่อขนานนามพวกนี้ว่า “แก๊งมังกร” ตำรวจมีหน้าที่ติดตามไล่ล่า จึงเป็นที่มาของ “เด็ดปีกมังกร” เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการสืบสวน จากข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่ผู้สืบสวนไม่มองข้าม นำไปสู่การคลี่คลายคดีได้สำเร็จ เป็นกรณีศึกษาใช้สอนในโรงเรียนการสืบสวน เป็นคดีตัวอย่างที่คนร้ายวางแผนหลอกล่อตำรวจ ผู้สืบสวนเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เหลือเชื่อจริงๆ ท่านติดตามอ่าน ท่านจะชื่นชมในความเก่งของตำรวจไทย และท่านจะกลายเป็นนักสืบชั้นเยี่ยมไปด้วย
เหตุคนร้ายปล้นร้านทอง “แม่มะลิ” ปากซอยอุดมสุข ท้องที่ สน.บางนา เมื่อหลายปีมาแล้ว เคยเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ พฤติการณ์คนร้ายอุกอาจมาก เข้าปล้นเวลากลางวันประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ในขณะที่ผู้คนพลุกพล่าน การจราจรคับคั่ง คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ โดยคนร้ายชาย ๓ คนมีอาวุธปืนทุกคน คนหนึ่งใช้อาวุธปืนลูกซองยาว อีก ๒ คนใช้อาวุธปืนพกสั้น คนร้ายทำงานเป็นทีมเข้าขากันอย่างดี
สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไป เรื่องเล็กๆน้อยๆล้วนเป็นร่องรอยคนร้ายทั้งสิ้น โปรดสังเกต เริ่มจากคนร้ายลักษณะเป็นคนจีน ๓ คนเดินเข้าไปในร้านทอง เข้าไปในลักษณะธรรมดาๆ แบบมืออาชีพ ท่าทางไม่รุกรน ไม่เหมือนโจรคนไทยบางรายที่เข้าไปแล้วมีอาการประหม่า เสียงสั่น มือที่ถือปืนก็สั่น น่ากลัวอาวุธปืนจะลั่น หรือยิงโดยไม่ตั้งใจ แต่แก๊งคนจีนนี้ไม่ แสดงว่าผ่านงานมาแล้วโชกโชน ชายจีน ๓ คนเดินเข้าไปในร้านเกือบจะพร้อมๆกัน คนหนึ่งไปยืนที่หน้าเคาเตอร์ตู้ทอง มองดูทองรูปพรรณลักษณะสนใจจะซื้อ พนักงานขายทองเข้าไปบริการ ชายจีนคนแรกพูดว่า “ขอดูทอง” สังเกตนะครับ คำพูดของคนจีนนอกมักจะไม่ค่อยมีหางเสียงหรือสร้อยคำ ถ้าเป็นคนไทยหรือคนจีนที่อาศัยอยู่เมืองไทยนานๆจะพูดว่า “ขอดูทองหน่อยครับ” หรือ “ขอดูทองเส้นนี้หน่อย” (ลองพูดตาม และสังเกต คนจีนแผ่นดินใหญ่จะพูดสั้นๆ ห้วนๆ) ถ้อยคำพูดของคนร้ายเป็นประโยชน์ในการสืบสวนทั้งสิ้น พนักงานขายทองก็นำทองรูปพรรณออกมาให้ดู เวลาเดียวกันชายจีนอีก ๒ คนก็เดินดูทองในตู้โชว์ ต่างคนมิได้มีท่าทางพิรุธอะไรเลย และแต่ละคนมิได้สนใจซึ่งกันและกัน
ทันใดนั้นชายจีนคนที่ขอดูทองก็ชักเอาอาวุธปืนพกออกมาจากเอว พูดขู่สำเนียงจีนแบบคนจีนเพิ่งหัดพูดภาษาไทยว่า “นี่…นี่….ปล้นน๊ะ ๆ” สำเนียงการพูดขู่ไม่ขึงขังน่ากลัว แต่ไอ้ปืนที่แกถือจ่อน่ากลัวกว่า ทันทีที่มีเสียงพูดคล้ายกันเป็นเสียงสัญญาณ คนจีนอีกคนหนึ่งก็กระตุกปืนพกออกมาจากเอว กระโดดแผลวข้ามตู้ทองที่เป็นเคาเตอร์เข้าไปยืนด้านใน ซึ่งเป็นที่สำหรับพนักงานขาย แล้วชายจีนผู้นี้ก็เอาด้ามปืนทุบกระจกตู้โชว์ รวบทองรูปพรรณคล้องเข้าข้อมือ ลักษณะการโดดข้ามเคาเตอร์ตู้ทองรวดเร็วคล่องแคล่วคล้ายกับคนมีวิชา “ตัวเบา”
เวลาเดียวกันชายจีนอีกคนก็กระตุกอาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งพี่แกเอาเก็บไว้ใน เสื้อที่ปล่อยชายคลุมเอวกางเกง ยืนส่ายปากกระบอกปืนไปยังพนักงานที่อยู่ในร้าน ขณะนั้นมีเพียงพนักงานขายอยู่ ๒ คน ลูกค้าอื่นไม่มี คนร้าย ๒ คนช่วยกันกวาดทองรูปพรรณไปได้ น้ำหนักทองรวม ๑๐๕ บาท ราคาทองคำในขณะนั้นน้ำหนักบาทละห้าพัน รวมเป็นเงินมูลค่าของทองก็ประมาณ ๕๒๕,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเอาสองคูณ
คนร้ายปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ ๒-๓ นาทีก็ล่าถอยออกไปยังจุดที่จอดรถยนต์บริเวณใกล้เคียง คนร้ายขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะนั้น ส.ต.ท.วินัยฯตำรวจจราจร สน.บางนา แต่งเครื่องแบบขับขี่รถจักรยานยนต์ตรวจการจราจรผ่านมา คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงไปที่ ส.ต.ท.วินัยฯ ๑ นัด กระสุนปืนไม่ถูกเป้าหมาย (เข้าใจว่าคนร้ายยิงขู่เพื่อสกัดกั้นการติดตาม) ซึ่งก็ได้ผล ส.ต.ท.วินัยฯในขณะนั้นไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หยุดรถเข้าที่กำบัง ทำให้รถคนร้ายขับหายไปในกลุ่มยวดยานที่กำลังคับคั่ง ส.ต.ท.วินัยฯจำทะเบียนรถยนต์คนร้ายได้ หลังจากทราบว่าเป็นเหตุอะไรแล้วจึงได้แจ้งเหตุเข้าศูนย์วิทยุ ให้ช่วยสกัดจับ
การสกัดจับคนร้ายของตำรวจนครบาลมีประสิทธิภาพมาก มีแผนสำหรับ “การสกัดจับ”โดยเฉพาะ ในยามปกติจะมีการซักซ้อมแผนอยู่เป็นประจำ โดยจะมีสถานการณ์สมมุติขึ้น เช่นมีเหตุคนร้ายชิงทรัพย์ ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลบหนี ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรถพาหนะของคนร้ายและเส้นทางที่ใช้หลบหนีในเบื้องต้น เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลสถานการณ์ถูกแจ้งจากสายตรวจหรือพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ เข้าศูนย์วิทยุของสถานีตำรวจท้องที่ จากนั้นจะส่งต่อเข้าศูนย์วิทยุ “ผ่านฟ้า” (เป็นศูนย์รวมของตำรวจนครบาล) ศูนย์วิทยุผ่านฟ้าจะกระจายข่าวไปยังทุกสถานีตำรวจนครบาล สั่งการให้สกัดจับ ซึ่งตลอด ๒๔ ชั่วโมงจะมีตำรวจสายตรวจทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ ตระเวนตามถนน ตรอก ซอกซอย สน.ละ ๕ คันเป็นอย่างน้อย สายตรวจพวกนี้จะรับข้อมูลจากศูนย์วิทยุแล้วคอยตรวจตราสอดส่องในพื้นที่ของตน และศูนย์วิทยุ “ผ่านฟ้า” ยังมีหน้าที่ประสานไปยังศูนย์วิทยุ “ปทุมวัน” ซึ่งเป็นศูนย์รวมของตำรวจแห่งชาติ ข้อมูลทั้งหมดก็จะถูกกระจายไปทั่วยังหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธรทุกภาคจะทราบหมด จะเห็นว่าประสิทธิภาพในการสกัดจับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีรถคนร้ายหรือรถถูกโจรกรรม หากมีการแจ้งเหตุรวดเร็ว ข้อมูลชัดเจน เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ทันท่วงที
ตำรวจท้องที่ ตำรวจกองสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตลอดจนผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไปสอบสวนและตรวจสถานที่เกิดเหตุ สายตรวจนครบาลทุก สน.ได้รับคำสั่งให้ตรวจหารถพาหนะคนร้าย พวกเราคาดว่าคนร้ายน่าจะทิ้งรถไว้ในซอยใกล้ๆกับที่เกิดเหตุแล้วเปลี่ยนนั่ง รถอื่น เพื่อป้องกันการสกัดจับ ไม่มีใครคิดเลยว่าคนร้ายจะใช้เส้นทางด่วน คิดว่ายังไงๆคนร้ายคงไม่กล้า เพราะทางด่วนมีช่องบังคับเก็บเงินค่าผ่านทาง อาจมีการประสานกับเจ้าหน้าที่เก็บเงินช่วยสกัดจับ แต่ผิดคาด คนร้ายหลบหนีขึ้นทางด่วนสุขุมวิท ๖๒ นำรถไปจอดทิ้งไว้บนทางด่วนใกล้ทางลงถนนเพชรบุรี ( เชื่อไหมครับ ตำรวจนครบาลไม่มีช่องทางประสานตรงไปยังด่านเก็บเงินเลย ผมเชื่อว่าปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มี ) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจหาร่องรอยหลักฐานที่รถยนต์คนร้าย พบว่าคนร้ายทิ้งอาวุธปืนลูกซอง ๑ กระบอก เสื้อเชิ้ตแขนยาว ๒ ตัว กางเกงขายาว ๑ ตัว ไว้ที่รถยนต์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตามไปเก็บร่องรอยลายนิ้วมือคนร้ายที่รถ
ตรวจสอบแล้วอาวุธปืนและเสื้อผ้าที่คนร้ายทิ้งไว้ เป็นอาวุธปืนและเสื้อผ้าที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ ตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะ ปรากฏว่าเป็นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม โดยเจ้าของรถแจ้งหายไว้ที่ สน.จักรวรรดิ์ การสืบสวนเริ่มเข้าสู่ทางตัน พวกเรารู้ว่าเจอมืออาชีพเข้าแล้ว
จากสำเนียงการพูดของคนร้ายที่ผมได้บอกไว้แล้วแต่ต้น เชื่อว่าคนร้ายรายนี้เป็นคนจีน การตรวจหาร่องรอยลายนิ้วมือที่รถยนต์พาหนะก็ทำกันไป ร่องรอยลายนิ้วมือนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อจับกุมคนร้ายได้ จะเป็นพยานหลักฐานยืนยันในชั้นพิจารณาคดี แต่ช่วยในการสืบสวนหาตัวคนร้ายได้น้อยมาก โดยเจ้าหน้าที่จะนำเอาตัวอย่างรอยนิ้วมือที่ได้จากที่เกิดเหตุไปตรวจสอบกับ พิมพ์มือคนร้ายที่เก็บไว้ หากเป็นกรณีที่คนร้ายที่ยังไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีมาก่อน จะไม่มีพิมพ์นิ้วมือเก็บไว้ในสารบบ การตรวจสอบจะไม่พบ
เรื่องนี้ต้องยกความเก่ง ความสามารถให้กับ ร.ต.อ.สมคิด บุญถนอม (ยศในขณะนั้น) เป็นผู้เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแล้วให้ความสนใจ จนสามารถคลี่คลายคดีจับตัวคนร้ายได้
ประเด็นแรก ผู้สืบสวนได้ข้อมูลแล้วว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนจีนที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทย สำเนียงการพูดไม่ชัด
ประเด็นที่สอง จากกางเกงที่คนร้ายทิ้งไว้ที่รถ เป็นกางเกงขายาวลูกฟูกสีน้ำตาล สภาพค่อนข้างเก่า กางเกงก็เหมือนกางเกงทั่วๆไป แต่สำหรับ ร.ต.อ.สมคิดฯได้ใช้สมอง พินิจพิเคราะห์ จนพบร่องรอยสำคัญ มองเห็นช่องทางที่จะพิชิตตัวคนร้ายทันที ทฤษฎีอาชญากรรม “อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยเสมอ”
ร.ต.อ.สมคิดฯได้พิจารณากางเกงของคนร้ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าที่ขอบกางเกงด้านในซึ่งเป็นผ้าสีขาว มีรอยหมึกชนิดลบไม่ออกเขียนตัวเลขไว้สามตัว 629 และมีเส้นด้ายสีฟ้าแกมเขียวเย็บติดอยู่ด้วย
ท่านผู้อ่านก็พอจะเดาออกว่า มันต้องเป็นตัวเลขที่ร้านรับซักรีดเขียนเอาไว้ เพื่อบอกให้รู้ว่าเป็นเสื้อผ้าของลูกค้ารายใด ทำไมต้องเขียนตัวเลขแทนที่จะเขียนชื่อ คำตอบก็คือ เจ้าของกางเกงต้องพักอาศัยอยู่ในอาคารสูงซึ่งมีคนพักมากๆ มีห้องหลายๆห้อง ถ้าเขียนชื่อจะยุ่งยากมาก ถ้าเขียนแต่เบอร์ห้องจะสะดวก เพียงให้ลูกจ้างไปรับเสื้อผ้าหน้าห้อง เมื่อซักรีดเสร็จก็ใส่กระจาดไปส่งตามห้องที่มีตัวเลขบอก มันก็จบ ท่านที่เดาได้เหมือนผม ท่านมีแววเป็นนักสืบที่ดี และทำไมจึงต้องมีด้ายสีต่างๆเย็บไว้ด้วย ท่านลองเดา เดี๋ยวผมมีคำตอบ
เมื่อตั้งสมมุติฐานว่า คนร้ายต้องเป็นคนจีนนอก น่าจะพักอยู่อาคารให้เช่าหรือโรงแรมที่มีความสูงตั้งแต่ ๖ ชั้นขึ้นไป แล้วจะไปติดตามเอาข้อมูลกันที่ไหน อพาร์ตเม้นท์ให้เช่าและโรงแรมในกรุงเทพมีเป็นร้อยๆแห่ง จะทำกันไหวหรือ นี่แหละเป็นปัญหาอุปสรรคที่ผู้สืบสวนมักจะถอดใจเสียก่อน แต่สำหรับ ร.ต.อ.สมคิดฯไม่ได้คิดเช่นนั้น
ปัญหาเรื่องโรงแรมตัดทิ้งไป ผู้พักโรงแรมจะพักระยะสั้นๆ ร้านซักรีดจะไม่จดเบอร์ห้องที่ขอบกางเกง ส่วนมากจะเขียนลงบนแผ่นกระดาษแล้วใช้เข็มหมุดกลัดติดเสื้อผ้าแทนการเขียน ร.ต.อ.สมคิดฯจึงฟังธงว่า จะต้องเป็นอพาร์ตเม้นท์หรือแฟลตสูงตั้งแต่ ๖ ชั้นขึ้นไปเท่านั้น จากสมมุติฐานดังกล่าว ชุดสืบสวน กก.สส.น.ใต้ (กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้) แบ่งกำลังกันออกตรวจสอบ โดยแบ่งออกเป็นหลายชุด ชุดละสองนาย แต่ละชุดรับผิดชอบพื้นที่เป็นโซนๆไป จนทั่วกรุงเทพฯ นำภาพถ่ายสีกางเกงคนร้ายให้เห็นตัวเลข 629 ที่ขอบเอว ตระเวนสอบถามร้านที่รับซักรีดตามแฟลตอพาร์ตเม้นท์ใน ก.ท.ม. ซึ่งได้สำรวจแล้วในขณะนั้นมีประมาณ ๔๐ กว่าแห่ง
ตำรวจใช้เวลาตรวจสอบเพียงแค่วันเดียวก็พบว่าแฟลต พี.เอส.เมโทร อาคารสูงประมาณ ๑๐ ชั้น อยู่ด้านหลังโรงภาพยนต์เมโทร ถนนเพชรบุรี ย่านประตูน้ำ มีร้านรับซักรีดอยู่ที่ชั้นล่างของแฟลต ร้านซักรีดดังกล่าวรับซักรีดให้กับผู้ที่มาพักแฟลต นำภาพถ่ายกางเกงของคนร้ายที่มีตัวเลขให้เจ้าของร้านดูแล้ว จำลายมือได้ ยืนยันว่าเป็นกางเกงของลูกค้าซึ่งพักอยู่ห้อง 629 ส่วนกรณีของเส้นด้ายทำไมต้องมีด้ายสีฟ้าแกมเขียวเย็บติดอยู่ด้วย คำตอบก็คือ ที่ร้านรับซักรีดมีลูกจ้างเป็นคนพม่า เป็นคนคัดเลือกเลือกผ้าและนำไปส่งลูกค้าที่ห้องพัก ลูกจ้างอ่านหนังสือไทยไม่ค่อยออก จึงใช้ด้ายสีเย็บเป็นการสะดวกที่ลูกจ้างจะแยกเสื้อผ้าตามสี สีหนึ่งก็ชั้นหนึ่ง ส่วนการอ่านเลขห้อง เด็กพม่าก็จะเดินดูตัวเลขที่หน้าห้อง ตัวเลขเหมือนกับห้องใดก็เป็นเสื้อผ้าของห้องนั้น เรื่องของด้ายสีก็เป็นเช่นนี้เอง
สืบสวนมาถึงจุดนี้ ทีมงานสืบสวนโล่งอก คิดว่าตามถูกทาง จับคนร้ายได้แน่ มีการประชุมวางแผนเพื่อทำการจับกุม การจะจับกุมคนร้ายสำคัญที่มีอาวุธร้ายแรง ต้องทำรัดกุม หาข้อมูลจากเจ้าของแฟลตทราบว่า ห้องหมายเลข 629 มีชายวัยรุ่นพักอยู่ ๔ คน ชายผู้พักทั้งสี่ไม่ปรากฏอาชีพ ทราบเพียงว่ามีรถจักรยานยนต์คนละคัน รวม ๔ คัน ตรวจสอบตำหนิรูปพรรณของผู้เช่าพักทั้งสี่ รูปพรรณใกล้เคียงกับคนร้ายที่ปล้นร้านทอง ผิดแต่ที่ผู้เช่าปัจจุบันหน้าตาเป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ ร.ต.อ.สมคิดฯยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นคนร้ายปล้นร้านค้าทอง
ร.ต.อ.สมคิดฯสวมบทบาทเจมส์บอนด์ ปลอมตัวเป็นพนักงานทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ เข้าไปตรวจซ่อมแอร์ตามปกติ โดยทางฝ่ายจัดการแฟลตประสานให้ การปฏิบัติการของ ร.ต.อ.สมคิดฯนับว่าเสี่ยงภัยพอสมควร หากว่าผู้เช่าดังกล่าวเป็นคนร้ายจริง การที่ ร.ต.อ.สมคิดฯปลอมตัวเข้าไปคนเดียวย่อมเสี่ยง แต่ ร.ต.อ.สมคิดฯก็ไม่ลืมที่พกอาวุธปืนสั้นติดตัวไปด้วย มีกำลังอีกชุดหนึ่งเตรียมพร้อมเข้าช่วยหากได้รับสัญญาณ ร.ต.อ.สมคิดฯได้แอบฟังการสนทนาของผู้เช่าทั้งสี่ในขณะที่เข้าไปตรวจเครื่อง ปรับอากาศ ผู้เช่าทั้งสี่พูดจาสำเนียงไทยแท้ คิดแต่แรกแล้วว่า คงไม่ใช่ แต่เพื่อให้หายสงสัย หลังจากที่พนักงานทำความสะอาดแอร์ตัวปลอมกลับไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็กรูเข้าไป นำตัวชายทั้งสี่ไปสอบสวน ให้พนักงานร้านทองที่อยู่ในที่เกิดเหตุดูตัว พนักงานร้านทองยืนยันว่า ไม่ใช่คนร้ายที่ปล้นร้านทอง ต้องปล่อยตัวชายทั้งสี่ไป เห็นไหมครับ การสืบสวนมันมิได้ง่ายไปเสียทุกเรื่อง
ได้ชื่อผู้เช่าพักรายก่อนคือ นายอุดร ประสมสู่ มีหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแนบอยู่กับสัญญาเช่าห้อง เป็นคนมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานข้อมูลประชาชน พบว่านายอุดร ประสมสู่ที่แท้จริงเป็นคนมีภูมิลำเนาอยู่ เขตพระโขนง กรุงเทพฯ แต่เสียชีวิตไปแล้ว น่าเชื่อว่านายอุดรฯที่มาเช่าห้องพักที่ พี.เอส.เมโทร ใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม
สอบสวนเจ้าหน้าที่ พี.เอส.เมโทรผู้ทำสัญญาเช่ากับนายอุดรฯ ยืนยันว่านายอุดรฯเป็นคนจีนพูดไทยไม่ชัด แต่ใช้บัตรประจำตัวประชาชนไทย ติดภาพถ่ายถูกต้อง เจ้าหน้าที่ได้สอบถามแล้ว นายอุดรฯบอกว่าตนเป็นชาวจีนฮ่องกง ชื่อจีน ฟรานซีส หว่อง ได้รับอนุญาตให้แปลงสัญชาติ ( เป็นอันว่ากุมารจีนผู้นี้ ถูกแก๊งต้มตุ๋นหลอกเรื่องแปลงสัญชาติ มังกรจีนว่าแน่ ยังแพ้พี่ไทย )
การสืบสวนทีแรกทำท่าจะใกล้ตัวคนร้าย เอาเข้าจริงกลับห่างออกไปอีก ไม่มีใครรู้ว่านายอุดรฯหรือฟรานซิส หว่องไปอยู่ที่ใด หรือกลับเมืองจีนไปแล้ว ชุดสืบสวนประสานไปยังกองตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบการเข้าออกของนายอุดรฯ การตรวจสอบหลักฐานการเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้หมายเลขหนังสือเดินทางจะตรวจสอบลำบาก ชื่อคนเมื่อสะกดเป็นภาษาอังกฤษถ้าเพี้ยนไปก็ตรวจไม่พบแล้ว สรุปผลการตรวจสอบการเข้า-ออกเมืองไม่พบชื่อนายอุดรฯ แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้จะยังอยู่ในประเทศ การเล็ดลอดออกนอกเมืองทำได้หลายทาง
การที่จะเป็นนักสืบที่ดีต้องมีลูกตื๊อ มีลูกเล่นลูกหัว สอบสวนกันในห้องทำงานอย่างเดียวจะไม่ได้ข้อมูลลึกๆ นักสืบของเราพยายามแวะเวียนไปที่แฟลตดังกล่าว สร้างความกันเองจนสนิทสนมกับคนงาน จุดประสงค์ต้องการทราบว่า มีใครติดต่อมายังห้อง 629 ทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย บ้างหรือไม่ ในที่สุดก็ทราบว่า ในช่วงที่นายอุดรฯหรือฟรานซิส หว่อง ย้ายออกจาก พี.เอส.เมโทรใหม่ๆ มีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ได้ไปสอบถามหาตัวนายอุดรฯ สุภาพสตรีผู้นี้อ้างว่าเป็นภรรยาของนายอุดรฯและถูกทอดทิ้ง
การสืบสวนนอกจากจะใช้ความเก่งแล้ว ยังต้องอาศัยความเฮงหรือโชคช่วยอีกด้วย โชคดีที่สุภาพสตรีรายนี้ให้ชื่อและที่อยู่ไว้กับเจ้าหน้าที่แฟลต พี.เอส.เมโทร เพราะเธอต้องการที่จะให้นายอุดรฯติดต่อกลับ เธอชื่อ น.ส.มรรยาท สุรศักดิ์ พักอยู่ที่แฟลต พี.เอส.สี่พระยา ได้ข้อมูลแค่นี้ชุดสืบสวนก็ดีใจจะตายแล้ว มีงานให้เชื่อมโยงต่อไปอีก ไปตรวจสอบที่แฟลต พี.เอส.สี่พระยา พบว่า น.ส.มรรยาทฯย้ายออกไปแล้ว แต่เธอก็ยังอุตส่าห์ให้ที่อยู่ใหม่ไว้อีก ผมบอกแล้วว่า อาชญากรรมย่อมทิ้งร่อยเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ น.ส.มรรยาทฯเธอไม่รู้ว่านายอุดรฯเป็นโจร เธอต้องการเพียงที่จะให้นายอุดรฯติดต่อ จึงจำเป็นต้องทิ้งที่อยู่ไว้ให้ทุกครั้งที่เธอเปลี่ยนที่อยู่ เหตุเพราะเธอมีลูกตัวน้อยๆกับนายอุดรฯ ๑ คน เธอต้องการให้นายอุดรฯดูแลส่งเสีย
ชุดสืบสวนไปที่บ้านเลขที่ ๒๐๒๔/๑๓ หมู่ ๓ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ตามที่อยู่ที่เธอแจ้งไว้ แต่ไม่พบตัว น.ส.มรรยาทฯ สอบถามเจ้าของบ้านดังกล่าวจึงได้ทราบว่า น.ส.มรรยาทฯเป็นเพื่อนกับบุตรสาวของเจ้าของบ้าน น.ส.มรรยาทฯขอเอาชื่อเข้าไว้ในทะเบียนบ้าน ตัวจริงไปพักอยู่ที่แฟลตกานดา
ยอกย้อนกลับไปกลับมา ในที่สุดชุดสืบสวนก็ติดตามหาตัว น.ส.มรรยาทฯจนพบ สอบสวนได้ความว่า น.ส.มรรยาทฯอยู่กินกับนายอุดรหรือฟรานซิส หว่อง มีลูกด้วยกัน ๑ คน พอมีลูกนายอุดรฯหรือฟรานซิสฯก็ทิ้งเธอไป ไม่รับผิดชอบเรื่องลูก ปล่อยให้เธอเลี้ยงดูตามลำพัง เธอจึงออกติดตามไล่ล่านายอุดรฯทุกแห่งที่เธอทราบ เพื่อจะทวงค่าเลี้ยงดู เธอไม่ทราบพฤติกรรมของนายอุดรฯมากนัก ทราบเพียงว่าเป็นนักเล่นการพนันตัวยง
ตำรวจได้แนวร่วมติดตามหาตัวนายอุดรฯ
น.ส.มรรยาทฯพาชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบตระเวนไปตามบ่อนทุกแห่งที่นายอุดรฯชอบ ไปเล่นการพนัน ในที่สุดก็พบตัวนายอุดรฯที่บ่อนแห่งหนึ่งย่านคลองเตย นายอุดรฯถูกนำตัวไปสอบสวน นายอุดรฯปฏิเสธไม่รู้เรื่องปล้นร้านทองแม่มะลิ ได้ให้พยานดูตัวนายอุดรฯแล้ว พยานยืนยันว่าไม่ใช่คนร้าย
เอาละซี จะเล่นงานกับนายอุดรฯยังไงดี มีเรื่องหนึ่งที่นายอุดรฯรับก็คือ การเช่าห้องพักที่ พี.เอส.เมโทร นายอุดรฯบอกว่า ตนเป็นเพียงผู้เช่าแต่ไม่ได้พัก ส่วนผู้ที่เข้าพักเป็นชาวฮ่องกง ๓ คน เหตุที่ตนต้องไปเช่าห้องให้เพราะตนมีบัตรประจำตัวประชาชน ตำรวจก็เลยตั้งข้อหานายอุดรฯ ฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ( ปลอมบัตรประจำตัวประชาชน ) ควบคุมตัวนายอุดรฯไว้ดำเนินคดี ในระหว่างที่ควบคุมตัวนายอุดรฯเรื่องบัตรปลอม ก็ได้อาศัยนายอุดรฯเป็นผู้ให้ข้อมูล พาไปชี้สถานที่ต่างๆที่ชายชาวฮ่องกงทั้ง ๓ คนเคยไป
นายอุดรฯให้รายละเอียดว่า ชาวฮ่องกง ๓ คนที่พักห้อง 629 พี.เอส.เมโทรคือ ๑ นายอาเข่า ๒ นายอาโจ๋ว ๓ นายอาเฟด และยืนยันว่าทั้งสามคนเดินทางกลับฮ่องกงเมื่อประมาณ ๓ เดือนที่ผ่านมา คือกลับไปตั้งแต่ตอนที่นายอุดรฯไปบอกเลิกการเช่าห้อง เมื่อตำรวจซักถามนายอุดรฯลึกๆลงไปอีก ก็ได้ความว่า ชาวฮ่องกงทั้งสามเพียงแต่บอกกับนายอุดรฯว่าจะกลับฮ่องกง เก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วให้นายอุดรฯเรียกรถแท็กซี่ให้ ส่วนจะเดินออกนอกประเทศหรือจะไปที่ใด นายอุดรฯไม่รู้
ตำรวจเชื่อว่าชายฮ่องกงทั้งสามต้องการจะหลอกนายอุดรฯว่ากลับฮ่องกง แต่ตัวอาจจะหลบไปอยู่ที่อื่นแล้วประกอบอาชญากรรม ตำรวจจึงให้นายอุดรฯพาไปชี้สถานที่ต่างๆที่ชายฮ่องกงทั้งสามคนน่าจะไป ในจำนวนสถานที่ต่างๆ มีบ้านของนายเดวิด หล่ำ ชาวมาเลเซียซึ่งเป็นเพื่อนกับชาวฮ่องกงทั้งสามคน บ้านอยู่ที่หมู่บ้านอยู่เจริญ ถนนอโศกดินแดง ห้วยขวาง ตำรวจให้ความสนใจบ้านของนายเดวิด หล่ำ จึงวางกำลังดักเฝ้าสังเกตการณ์ พบมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าคนร้ายหลบซ่อนอยู่ที่บ้านแห่งนี้ จึงเข้าทำการตรวจค้นจับกุม
สมัยนั้นหมายจับและหมายค้นยังออกโดยข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ การปฏิบัติจึงไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร สามารถจับกุมตัว
๑ นายอาเข่า หรือเล่า วันซัง
๒ นายอาโจ๋ว หรือจง เหว่งเค
๓ นายอาเฟด หรือเล่า เตง หมัน
พบหลักฐานของกลาง อาวุธปืนพกสั้น ๒ กระบอกพร้อมกระสุนปืน ทองคำแท่งหลอมมาจากทองรูปพรรณ จำนวน ๗ แท่ง หนัก ๕๕๗ กรัม และเงินสดที่ได้จากการนำทองไปขายอีกส่วนหนึ่ง
สอบสวนผู้ต้อหาทั้งสามคนรับสารภาพว่า ร่วมกันปล้นร้านทองแม่มะลิ โดย
นายอาเฟดฯเป็นผู้มีความชำนาญในการขโมยรถ ได้ขโมยรถยนต์มิตซูบิชิใช้เป็นพาหนะในการปล้นทรัพย์ นายอาเฟดทำหน้าที่ขับขี่รถ และเป็นคนใช้อาวุธปืนยาวคุ้มกัน
นายอาโจ๋วฯกับนายอาเข่าฯ เป็นผู้ใช้อาวุธปืนพกสั้นขู่ นายอาโจ๋วฯ เป็นผู้กระโดดข้ามเคาเตอร์เข้าไปทุบกระจกตู้โชว์ทอง
สำหรับนายอาเข่าฯ ต้องคดีปล้นทรัพย์ที่ฮ่องกง หลบหนีการประกันตัว
นายอาเฟดฯนอกจะมีความชำนาญในทางโจรกรรมรถยนต์แล้ว ยังมีความชำนาญในการหลอมทองคำ เคยทำงานเป็นช่างหลอมทองที่ฮ่องกง ตอนที่ไปตรวจค้นบ้าน พบเครื่องเชื่อมโลหะชนิดใช้แก๊ส นายอาเฟดฯรับว่า ใช้เครื่องเชื่อมโลหะในการหลอมทองรูปพรรณให้เป็นแท่ง แต่เจ้าหน้าที่ตรวจหาทองคำแท่งไม่พบ การตรวจค้นทำอย่างละเอียด พื้นที่ทุกตารางนิ้วถูกตรวจสอบหมด หมู่บ้านอยู่เจริญเป็นหมู่บ้านเก่า สร้างมานานกว่า ๒๐ ปี สังเกตพบว่า ฝาท่อระบายน้ำภายในบ้านที่ทำการตรวจค้น เป็นปูนหล่อใหม่ๆ ดูแล้วผิดปกติ จึงยกฝาท่อขึ้นดู พบว่ามีความหนามาก จึงทุบออกดู พบว่ามีถุงพลาสติกห่อสิ่งของอยู่ภายในฝาท่อ คลี่พลาสติกออกจึงพบทองแท่งจำนวน ๗ แท่ง
นายอาเฟดฯรับว่าเป็นทองรูปพรรณจากร้านทองแม่มะลิที่ตนกับพวกปล้นมา นายอาเฟดฯใช้เครื่องพ่นไฟเป่าหลอมทองรูปพรรณให้เป็นแท่ง แล้วโบกปูนหุ้มในรูปของฝาท่อ
เห็นไหมครับ ฝีมือของโจรแดนมังกร มีแผนการทำงานและซุกซ่อนของกลางอย่างแยบยล ถึงจะเก่งอย่างไรก็หนีไม่พ้นฝีมือตำรวจไทย คดีเรื่องนี้เป็นผลงานของ กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ ในความควบคุมของ พ.ต.อ.ธนู หอมหวล ซึ่งขณะเกิดเหตุคดีนี้ มีตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลใต้ ผู้ที่คุมทีมสืบสวนซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการติดตามคนร้าย คือ ร.ต.อ.สมคิด บุญถนอม เป็นนายตำรวจฝีมือดี มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการ ปัจจุบันยศ พล.ต.ท. ตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมคิดฯจะก้าวหน้าไปยิ่งกว่านี่ถ้าไม่ไปสะดุดคดีนักธุรกิจซาอุฯที่หายตัว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อารายเหรอ