"ฆาตกรรม-ทารุณกรรมเด็ก" อุทาหรณ์สุดท้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้น!
ร่างอันไร้วิญญาณของน้องโฟกัส ด.ญ.
นางปวีณา แจ้งกับเจ้าภาพงานศพ"น้องโฟกัส"ว่า ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า การเสียชีวิตของ"น้องโฟกัส"อาจมีเงื่อนงำ และอาจถูกฆาตกรรม จึงพาตำรวจมาขออายัดศพ"น้องโฟกัส" ไปตรวจผ่าพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากพ่อแม่"น้องโฟกัส"ว่า น.ส.
นางปวีณา บอกภายหลังว่า ได้รับการประสานจากนายแพทย์ผู้ผ่าศพพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของ"น้อง โฟกัส"เมื่อเย็นวันที่ 2 มี.ค.ว่า น้องโฟกัส เสียชีวิตเนื่องจากมีเลือดออกในช่องท้อง เยื่อบุลำไส้ฉีกขาด เลือกคั่งในสมองซีกซ้าย และกะโหลกศีรษะร้าว ซึ่งไม่น่าจะเป็นการเสียชีวิตเพราะหกล้มเองตามที่พี่เลี้ยงเด็กกล่าวอ้าง อีกทั้ง หลังจากเด็กเสียชีวิต พ่อแม่เด็กก็ไม่ได้เข้าแจ้งความ แต่กลับรีบนำศพเด็กออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อนำมาเผาที่วัดในวันรุ่งขึ้นทันที ทำให้เห็นว่า มีพิรุธอย่างชัดเจน จึงได้ประสานให้ตำรวจเดินทางมาอายัดศพ เพื่อนำกลับไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และทำการสืบสวนคลี่คลายคดีก่อน
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.
"ตอนนี้ดิฉันตั้งท้องอยู่ เวลาน้องเขาจะเดินผ่านก็จะเดินข้ามท้องไป แต่วันเกิดเหตุ น้องเขาเดินเหยียบท้อง ก็เลยโมโหอย่างหนัก จับเขาตีอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง จนน้องเข้าสลบไป ตอนแรกก็นึกว่าหลับไป เพราะอ่อนเพลียหมดแรง พอปลุกไม่ตื่นก็เลยรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที โดยไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่น้องเขากะโหลกแตกนั้น น่าจะเป็นเพราะถูกฉันจับหัวโขกกับตู้ไป 3-4 ครั้ง และยืนยันว่า ใช้เพียงมือทุบตีท้องเท่านั้น ไม่ได้ใช้อย่างอื่นหรือมีใครช่วยทุบตี"น.ส.ศิริพร ให้การในภายหลังอีกครั้ง
พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวว่า จากการสอบปากคำแม่แท้ๆ ของน้องโฟกัสที่ทราบเรื่องแล้วไม่ติดใจเอาความน.ส.ศิริพรนั้น เพราะเข้าใจว่า ทำลงไปเพราะอารมณ์โกรธ ส่วนที่รีบนำศพลูกไปเผาทันทีนั้น เป็นเพราะเรื่องความเป็นอยู่ ฐานะของครอบครัว เด็กไม่มีญาติ และความผูกพันก็มีด้วยไม่มาก เพราะปัจจุบัน แม่ของน้องโฟกัส อยู่กับสามีใหม่ และยังมีลูกด้วยกันอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังต้องสอบสวนต่อไป หากพบว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงว่า มีส่วนกระทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คดีนี้ ปิดฉากลงตรงที่ตำรวจสามารถเค้นเอาข้อเท็จจริงจากน.ส.ศิริพร อาสะใภ้ใจโหดให้รับสารภาพได้ แต่อีกหนึ่งชีวิต ไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตอยู่ดูโลกต่อไปได้ มันช่างคุ้มหรือไม่ กับการ"ทารุณกรรม"ที่ไม่ได้ตั้งใจ
จากคดี"น้องโฟกัส" มาถึงเรื่องราวอันน่าสลดหดหู่กับ"น้องเฟิร์น" หนูน้อยวัย 6 ขวบที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 9 มี.ค. โดยสถานีวิทยุจส.100 แจ้งไปยังพ.ต.ท.
"น้องเฟิร์น"บอกกับตำรวจ ว่า อยู่กับพ่อแท้ๆชื่อนายโล้น กับนางวรรณ แม่เลี่ยงที่ตึกแถวดังกล่าว แต่ถูกพ่อขังไว้ในห้อง พร้อมขู่ด้วยว่า หากหนีออกมาจากห้อง จะฆ่าให้ตาย แต่วันนี้ รู้สึกหิว เลยหนีลงมาขอข้าวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้านกิน และกลับขึ้นไป จนกระทั่งตำรวจไปช่วย
"หนูไม่ใช่เด็กดื้อ แต่พ่อหาว่าหนูโกหก หนูถูกพ่อตีและกระทืบ ส่วนแม่ก็บีบคอจนหนูเจ็บไปทั้งตัว"น้องเฟิร์นให้การด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
ต่อมาพ.ต.อ.วีระ จิรวีระ ผกก.สน.เตาปูน สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ไปเชิญตัวนายโล้น และนาง
"ยอมรับว่ามีตีบ้างเพราะ ลูกสาวเป็นเด็กดื้อ ให้กินข้าวก็ไม่ยอมกิน วันนี้ก่อนออกจากบ้านก็ไม่ได้ล็อกห้องไว้ เพียงแต่ปิดประตูห้องไว้เท่านั้น และก็ไม่ได้บังคับให้อดข้าวตามที่ลูกอ้าง เนื่องจากพวกผมหาให้กินอยู่ทุกวันแต่ลูกสาวไม่ยอมกินเอง"นายโล้นอ้าง
แม้บุพพการีจะกล่าวอ้างอย่างไรก็ตาม แต่หลักฐาน คือสภาพร่างกายของ"น้องเฟิร์น"นั้น มันฟ้องอยู่ทนโท่ แต่ตำรวจก็ทำได้เพียง ส่ง"น้องเฟิร์น"ไปที่ บ้านพักเด็กและครอบครัว (บ้านราชวิถี) ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จากนั้น จะสอบปากคำน้องเฟิร์นและพ่อแม่เด็กอย่างละเอียดอีกครั้ง และหากผลการตรวจร่างกายของน้องเฟิร์นจากแพทย์โรงพยาบาลวชิรพยาบาลออกมาว่า น้องเฟิร์นถูกทำร้ายร่างกายจริง ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีสุดท้าย แม้เด็กจะไม่ถูกทารุณกรรมทางร่างกาย แต่นับว่า ถูกทารุณกรรมทางจิตใจจนบอบช้ำเกินที่จะเยียวยาได้ทั้งชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวตีสี่ของวันที่ 14 มี.ค. ร.ต.ท.
ในที่เกิดเหตุ ไม่น่าเชื่อว่า จะมีเด็กไร้เดียงสาอยู่กลางดึกเพียงคนเดียวได้ เนื่องจากเป็นป่าหญ้ารกทึบสูงประมาณ
นายสรรภยา ด้วงเงิน เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้รับการประสานจากสถานีวิทยุ จส.100 ว่า มีชาวบ้านในซอยดังกล่าว พบเด็กถูกทิ้งให้นั่งร้องไห้อยู่ในป่าหญ้า จึงรีบมาตรวจสอบทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ภายในซอยดังกล่าวเป็นซอยเปลี่ยวมืดมาก และพบเด็กนั่งอยู่ในป่าหญ้ารกทึบมีแผลถูกยุงกัดเต็มตัว เมื่อสอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น ไม่มีใครเคยพบเห็นเด็กคนนี้มาก่อน จึงได้อุ้มออกมาจากป่าหญ้าแล้วซื้อนมให้กิน ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
"ถือ ว่าเป็นโชคดีของเด็ก ที่ไม่ถูกงูกัดเสียก่อน เพราะจุดที่พบเด็กนั้นเป็นป่าหญ้ารกทึบมาก"นายสรรภยาบอก
ร.ต.ท.พงษ์เดช ร้อยเวรคดีนี้ระบุว่า จะต้องตรวจสอบว่า มีใครมาแจ้งความเรื่องเด็กหายหรือไม่ แต่เชื่อว่า เด็กน่าจะถูกนำมาทิ้งไว้ในป่าหญ้ามากกว่า โดยหลังจากนี้จะประสานไปยังฝ่ายสืบสวน สน.ลาดพร้าว ให้ลงพื้นที่สืบสวนหาตัวพ่อแม่เด็กที่นำลูกมาทิ้งไว้ต่อไป
การทำร้าย ทารุณกรรมกับเด็ก มีและเกิดขึ้นอยู่เสมอมา จนสถิติเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แม้จะมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่คอยดูแลและคุ้มครองเด็กแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งผศ.ดร.
ยังคงพอมีความหวังอยู่บ้างว่า ต่อไป ทุกคน ทุกฝ่าย จะช่วยกันดูแลให้การทารุณกรรมเด็ก ลดน้อยถดถอยลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังเชื่อว่า ยังมีเด็กอีกหลายคน ที่ยังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ เพราะตัวอย่างต่างๆที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นคดีความ และถูกตีแผ่มาให้สังคมได้รับรู้นั้น จะไม่ใช่อุทาหรณ์รายสุดท้ายเป็นแน่ หากทุกคน ทุกฝ่ายยังมองข้ามและละเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กๆเหล่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก manager online
สามารถอ่านบทความดีๆ เกี่ยวกับการฆาตกรรมเด็กทารกเพิ่มเติมได้ที่
http://forensicchula.net/FMJ/journal/topic/0307.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อารายเหรอ