1. ตรวจสอบประวัติ
ประวัติของผู้ต้องขังจะถูกส่งมาที่เรือนจำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประกอบด้วย ข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้ต้องขัง ลายพิมพ์นิ้วมือ และรูปถ่าย ซึ่งจะถูกตรวจสอบโดยละเอียดพร้อมๆกับ
การสัมภาษณ์ผู้ต้องขังเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ต้องขัง เป็นคนเดียวกันกับที่ระบุไว้ในเอกสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
2. พิมพ์ลายนิ้วมือ
เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะนอกจากการสัมภาษณ์แล้ว การพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องขัง เพื่อตรวจสอบกับลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะช่วยยืนยันได้แน่นอนว่าเรือนจำรับ
ผู้ต้องขังไม่ผิดตัว
3. ถ่ายรูป
บางเรือนจำอาจถ่ายรูปผู้ต้องขังในวันแรกที่เข้ามา แต่บางเรือนจำอาจรอทำในวันถัดไป
4. ทำบัญชีฝากของมีค่า
เรือนจำจะเก็บของมีค่าทั้งหมดของผู้ต้องขังไว้ และออกใบรับฝากให้ผู้ต้องขังเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อรับคืนภายหลัง
5. ตรวจสอบสิ่งของส่วนตัวที่อนุญาตให้นำติดตัวเข้าเรือนจำ
เจ้าหน้าที่เรือนจำจะตรวจสอบสิ่งของส่วนตัว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งต้องห้ามปะปนอยู่ โดยเฉพาะยาเสพย์ติด สิ่งของที่อนุญาตให้นำเข้าเรือนจำได้แก่ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า สบู่ แปรงและยาสีฟัน เป็นต้น
6. พิจารณาจัดหาที่ๆเหมาะสมที่จะให้ผู้ต้องขังอยู่
โดยทั่วไปแล้วผู้ต้องขังรับใหม่ทุกรายจะถูกจัดไว้ใน แดนแรกรับ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาส ปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในเรือนจำ มีผู้ต้องขังบางรายที่เจ้าหน้าที่เห็นว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ ก็จะส่งไปพักที่สถานพยาบาลของเรือนจำ
สภาพห้องนอนของผู้ต้อง ขัง ที่อาสาสมัครช่วยงานใน ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
สิ่งที่ควรทำ
- ถ้ามีโรคประจำตัว ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันทีที่เข้าเรือนจำ
- ถ้ามียาที่ต้องกิน เป็นประจำ ควรแจ้งพยาบาลประจำเรือนจำ เพื่อตรวจสอบว่ามียาดังกล่าวในสถานพยาบาลหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็จำเป็นต้องติดต่อญาติเพื่อจัดส่งเข้ามา
- พยายามดูแลสุขภาพให้ดี คุณอาจอยู่ในเรือนจำเพียงไม่กี่วันหรืออาจจะต้องอยู่อีกหลายสิบปี เราอยากเห็นคุณเดินออกจากคุกในสภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์
- พยายามเป็น มิตรกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ต้องขังด้วยกัน คนเหล่านี้อาจช่วยคุณได้เมื่อถึงคราวจำเป็น
- ควรใช้ชีวิตทุกๆนาที ภายในเรือนจำให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และต่อสังคมภายนอก
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ห้ามฝ่าฝืนกฎระเบียบต่างๆของเรือนจำ เด็ดขาด มิฉะนั้น คุณจะถูกลงโทษ !!
- อย่าแต่งกายหรือวางตัวให้ผิดกับผู้ต้องขังคนอื่น การทำตัวเป็นคนเด่นในคุกมีผลเสียมากกว่าผลดี
- อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยจนเต็มพิกัดที่เรือนจำกำหนดทุกวัน คุณอาจถูกรีดไถหรือรังแกจากผู้ต้องขังอื่น อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ใช่บอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณ เขาไม่สามารถอยู่ปกป้องคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- ถ้าเครียด อย่าใช้ ยาเสพติดหรือ การพนันเป็นเครื่องคลายเครียด มิฉะนั้น สถานการณ์ของคุณจะเลวร้ายลงทุกที
- ถ้ามีผู้มาชักชวน หรือตัวคุณเองมีความรู้สึกอยากที่จะทำผิดระเบียบของเรือนจำ ก็ขอให้ย้อนกลับไปดู ข้อ 1.ใหม่
สิทธิของผู้ต้องขัง
1. สิทธิที่จะได้รับอาหารถูกหลักโภชนาการและเพียงพอต่อความต้องการ
2. สิทธิที่จะได้รับเครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ
ผู้ต้องขังส่วนใหญ่มักจะมีเสื้อผ้าของตนเองจากญาติที่นำมาให้ ส่วนผู้ต้องขังที่ไม่สามารถจัดหาเสื้อผ้า ผ้าห่มและของใช้ประจำตัว ทางเรือนจำจะรับผิดชอบจัดหาให้
3. สิทธิที่จะได้ที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ
เรือนจำทุกแห่งได้พยายามจัดเรือนนอนให้ผู้ต้องขัง ได้พักอาศัยให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล
อยู่แล้ว แต่คนติดคุกมีมากเกินไป (มากกว่า 250,000 คน ! ในบางปี) ทำให้ผู้ต้องขังต้องอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด ปัจจุบัน เรือนจำเกือบทุกแห่งได้อนุญาตให้โรงเรียนต่างๆพานักเรียนเข้ามาดูสภาพความ เป็นอยู่ของผู้ต้องขังได้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่า อย่าทำผิดกฎหมายเด็ดขาด มิฉะนั้น จะต้องมาทนลำบากอยู่ในคุก
4. สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (0 บาท รักษาทุกโรค)
เรือนจำทุกแห่งมีสถานพยาบาล และเจ้าหน้าทีพยาบาลคอยให้การบำบัดรักษาโรค ให้กับผู้ต้องขังตามสมควร แต่ถ้าป่วยเกินขีดความสามารถของสถานพยาบาล ก็จะมีการพิจารณาส่งตัวออกรับการรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก หรือ ส่งตัวมารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่กรุงเทพ
5. สิทธิที่จะได้รับการติดต่อกับญาติและทนายความ
ทนายความมีสิทธิ์ขอเข้าพบผู้ต้องขังได้ตามความจำเป็น ส่วนญาติก็สามารถมาเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามวันเวลาที่เรือนจำกำหนด ปัจจุบันนี้ เรือนจำหลายแห่ง ได้เพิ่มจำนวนวันที่ญาติสามารถมาเยี่ยมผู้ต้องขังได้มากขึ้น บางเรือนจำอนุญาตให้เยี่ยมได้ทุกวันทำการ ผู้ต้องขังที่พักรักษาตัวอยู่ ใน ทัณฑสถาน-โรงพยาบาลราชทัณฑ์นั้น ญาติสามารถเข้าเยี่ยมผู้ป่วยได้ถึงตัวภายในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถเดินออกไปเยี่ยมญาติได้ตามปกติ
6. สิทธิที่จะประกอบพิธีทางศาสนาตามความเชื่อของผู้ต้องขัง
ผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาต่างๆ สามารถประกอบพิธีการทางศาสนาได้โดยทางเรือนจำจะมีอนุศาสนาจารย์ คอยให้คำปรึกษาแนะนำและอำนวยความสะดวก
7. สิทธิที่จะรับและส่งจดหมายติดต่อกับบุคคลภายนอก
นอกจากสิทธิที่จะรับ-ส่งจดหมายแล้ว ปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ได้มีนโยบายให้ผู้ต้องขังสามารถรับ-ส่ง E-mail กับญาติ และ แม้กระทั่งสามารถใช้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับญาติได้ ตามระเบียบที่กรมราชทัณฑ์กำหนดไว้
8. สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ
อาหารมื้อแรกของคุณในเรือนจำ
ท่านทราบหรือไม่ว่ากรมราชทัณฑ์ได้รับงบประมาณ ในการจัดเลี้ยงอาหารให้ผู้ต้องขังคนละกี่บาทต่อมื้อ
ก. 10 บาท
ข. 12 บาท
ค. 19 บาท
ง. 22 บาท
โรงครัว ของทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ
ปัญหาของผู้ที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำในวันแรกๆ ก็คือ ความไม่คุ้นเคยกับรสชาดของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวสารที่ใช้นั้น เป็นข้าวสารกล้อง 5% ที่เรียกกันว่าข้าวแดง(ยกเว้นในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และเรือนจำบางแห่งที่จะหุงข้าวขาวให้กับผู้ต้องขังซึ่งเป็นผู้ป่วย)
ในกลุ่มผู้ต้องขังชาวต่างชาติ ปัญหาเรื่องอาหารก็จะยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้น เรือนจำทุกแห่ง จึงอนุญาตให้ผู้ต้องขัง ซื้ออาหารจากร้านค้าของเรือนจำมารับประทานได้ โดยผู้ต้องขังแต่ละคนจะมีสิทธิ์ใช้เงินที่ฝากไว้ในบัญชีของตน ในการซื้ออาหาร และของใช้ประจำวันได้วันละไม่เกิน 200 บาท
ผู้ต้องขังจะได้รับอาหารวันละ 3 มื้อ โรงครัวของเรือนจำจะต้องเตรียม อาหารให้กับผู้ต้องขังทั่วไป ผู้ต้องขังที่เป็นอิสลาม และผู้ต้องขังที่เป็นชาวต่างชาติ (งบประมาณค่าอาหารเท่ากัน เพียงแต่ปรุงให้รสชาดไม่จัด และเลือกเมนูอาหารที่คิดว่าถูกปากผู้ต้องขังชาวต่างชาติ ซึ่งทำได้ยากมาก เพราะในบางเรือนจำ เช่น เรือนจำกลางคลองเปรมคุมขังผู้ต้องขังชาวต่างชาติไว้กว่า 80 ชาติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ปัญหาเรื่องโรคระบาดด้านทางเดินอาหาร หรือ โรคอาหารเป็นพิษ พบได้น้อยมากในเรือนจำ ทั้งนี้เพราะ อาหารในเรือนจำทุกแห่งจะถูกปรุงแล้วให้ผู้ต้องขังรับประทานทันที โดยไม่มีการเก็บค้างไว้นานๆ
คำตอบ
วิธีนอนให้สบายในคุก
|
รูปที่เห็นพร้อมกรอบข้างล่างแสดงถึงพื้นที่นอนของผู้ต้องขัง 1 คนตามมาตรฐานสากลคือ 7.5 ตารางเมตร ต่อ คน
ส่วนในประเทศ ไทยนั้น มาตรฐานขั้นต่ำของพื้นที่นอน สำหรับผู้ต้องขังที่กำหนดโดยกรมราชทัณฑ์ คือ 2.25 ตารางเมตรต่อผู้ต้องขัง 1 คน (ดังรูปข้างล่าง)ซึ่งเป็นขนาดที่พอจะยอมรับได้ ถ้าการระบายอากาศในห้องนอนอยู่ในเกณฑ์ดี
แต่ ในความเป็นจริงนั้น ผู้ต้องขังมีพื้นที่นอน น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถึง 3 เท่า !! (สถิติปี 2542)คือ เฉลี่ยแล้วผู้ต้องขังแต่ละคนจะมีพื้นที่นอนเพียง 0.85 ตารางเมตร ซึ่งหมายความว่าถ้าผู้ต้องขังมีส่วนสูง 170 เซนติเมตร ก็จะมีเนื้อที่นอนกว้างเพียง 50 เซนติเมตรเท่านั้น (ดังรูป) เพราะฉะนั้น การจะนอนให้หลับสบายจึงเป็นไปไม่ได้
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจำนวนผู้ต้องขังถูกจับกุมเข้ามาอยู่ในเรือนจำมี มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ต้องขังคดียาเสพย์ติด
การแก้ไขปัญหา โดยผู้บริหารเรือนจำ
- ต่อเติมเรือนนอนเพิ่ม ขึ้น เช่น ใช้ใต้ถุนเรือนนอนที่ยังว่างอยู่ หรือทำที่นอนให้เป็นสองชั้น เป็นต้น ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากกรมราชทัณฑ์ได้รับงบประมาณน้อยมาก และไม่มี งบสร้างเรือนจำเพิ่ม
- ลดความรู้สึกอึดอัดในเรือนนอน โดยติดตั้งพัดลมและพัดลมระบายอากาศเพิ่มขึ้น พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องยุงหรือแมลง ที่มารบกวนซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ
- ทำทุกวิถีทางที่จะ ปล่อยตัวผู้ต้องขังที่มีโทษเหลือน้อย และมีความประพฤติดีออกจากเรือนจำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดความแออัดลง โดยวิธีการพักการลงโทษ หรือลดวันต้องโทษจำคุก หรือ โอนตัวผู้ต้องขังตามสนธิสัญญาโอนตัวผู้ต้องขังต่างชาติ กลับไปจำคุกที่ประเทศของตนเอง
- พยายามโยกย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำ ที่แออัดมาก ไปยังเรือนจำที่มีความแออัดน้อยกว่า
- โยกย้ายผู้ต้องขัง คดีเสพยาเสพย์ติดที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ไปรับการบำบัดการติดยาเสพย์ติดที่ค่ายทหารต่างๆ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ต้องขัง
- ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับ พยายามออกกำลังกายหรืออาสาสมัครทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้หลับง่ายขึ้น
- ไม่ ควรใช้ยานอนหลับช่วย เพราะจะทำให้ติดยา และต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ
- การ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือนั่งสมาธิ ทำวิปัสสนา ก็อาจช่วยได้ ควรปรึกษาอนุศาสน์ของเรือนจำ
- ขอยืมหนังสือธรรมะจากห้องสมุดเรือนจำ มาอ่านก่อนนอน (วิธีนี้ทำให้ง่วงนอนได้เร็วมาก ไม่ว่าผู้ต้องขังจะรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมหรือไม่ก็ตาม)
เมื่อผู้ ต้องขังเจ็บป่วยในเรือนจำ เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลจะเป็นผู้ให้การดูแลเบื้องต้น หากอาการป่วยเกินขีดความสามารถของสถานพยาบาล เจ้าหน้าที่จะรายงานผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อพิจารณาส่งตัวออกไปรับการรักษา ที่โรงพยาบาลภายนอก ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรังหรือต้องใช้เวลาในการรักษาเป็นเวลานาน ทางเรือนจำอาจพิจารณาส่งตัวผู้ป่วยมารับการรักษาที่ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเรือนจำกลางคลองเปรม กทม.
วิธีออกจากคุกให้เร็วขึ้น
1. ยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาล
2. พยายามเลื่อนชั้นให้เร็ว และ หลีกเลี่ยงการถูกตัดชั้น
ผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้ว จะได้รับการลดวันต้องโทษจำคุกมากหรือน้อยตาม "ชั้น"ของผู้ต้องขัง ดังนี้
- ชั้นเยี่ยม ได้ลดโทษ เดือนละ 5 วัน
- ชั้นดีมาก ได้ลดโทษ เดือนละ 4 วัน
- ชั้นดี ได้ลดโทษ เดือนละ 3 วัน
เรือนจำจะแบ่งชั้นของผู้ต้องขังออก เป็นชั้นต่างๆ 6 ชั้นคือ
ชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก ชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นเลว และชั้นเลวมาก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความประพฤติการปฏิบัติตามระเบียบของเรือนจำ และความตั้งใจในการฝึกวิชาชีพหรือเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากพ้นโทษเร็ว ก็อย่าฝ่าฝืนระเบียบเรือนจำจนถูกตัดชั้น
3. ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ
ผู้ต้องขังสามารถยื่นทูลเกล้าขอพระทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล และ อาจได้รับการพิจารณาเพื่อรับพระราชทานอภัยโทษ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันเฉลิมพระชนม์พรรษา เป็นต้น
4. อาสาสมัครออกทำงานสาธารณะ
ผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี และมีโทษจำคุกเหลือไม่มาก อาจได้รับการพิจารณาให้ออกมาทำงานสาธารณะนอกเรือนจำ เช่น การขุดลอกคูคลอง ท่อระบายน้ำ ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินปันผลสูงถึง 80 % ของกำไรสุทธิจากรับจ้างงานสาธารณะแล้ว ผู้ต้องขังยังได้รับการลดโทษ เป็นจำนวนวันเท่ากับจำนวนวันที่ออกทำงานสาธารณะอีกด้วย
5. การขอพักการลงโทษ
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้ต้องขังออกจากเรือนจำได้เร็วกว่ากำหนด โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- ต้องจำคุกมาไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม ของกำหนดโทษ
- ถ้าเป็นคดีจำคุกตลอดชีวิต ต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี
- ระยะเวลาของการพักโทษมีดังนี้
- ชั้นเยี่ยม ได้พักไม่เกิน 1 ใน 3 ของกำหนดโทษต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนพักการลงโทษ สำนักทัณฑปฏิบัติ
- ชั้นดีมาก ได้พักไม่เกิน 1 ใน 4 ของกำหนดโทษ
- ชั้นดี ได้พักไม่เกิน 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ
กรมราชทัณฑ์ โทร. 0-2967-3371 , 0-2967-3372 หรือสอบถามได้ที่เรือนจำทุกแห่ง
10 วิธีคลายเครียดในคุก
1. ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เรือนจำมีงบประมาณสำหรับจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาให้ผู้ต้องขังเล่น เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเป็นการคลายเครียด
2. เรียนหนังสือ ผู้ต้องขังสามารถใช้เวลาว่างให้ประโยชน์ได้ โดยการเรียนหนังสือซึ่งเรือนจำจัดมีการสอนตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงระดับ ปริญญา |
|
3. ฝึกวิชาชีพ นอกจากจะได้รับเงินปันผลจากการฝึกวิชาชีพแล้ว ผู้ต้องขังยังอาจนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพเมื่อพ้นโทษได้ (ในภาพ ผู้ต้องขังของทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง กำลังฝึกเจียรไนพลอย) |
|
4. หางานอดิเรกทำการปลูกผักสวนครัว นอกจากจะทำให้เพลิดเพลินแล้ว ยังสามารถนำผักที่ได้มาใช้เป็นอาหารได้อีกด้วย |
|
5. ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรีโทรทัศน์เป็นสิ่งบันเทิงคลายเครียดที่มีอยู่ในทุกเรือนจำ (ในภาพ เป็นศูนย์ควบคุมทีวีวงจรปิดที่ทำหน้าที่ควบคุมการส่งข่าวสาร ภาพยนต์ รายการบันเทิงทางโทรทัศน์ ไปยังห้องผู้ป่วยทุกห้องภายในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ |
|
6. ไหว้พระ สวดมนต์ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจที่ดีมากสำหรับผู้ต้องขัง (ในภาพ ผู้ต้องขังชาวมุสลิมกำลังทำพิธีทางศาสนา) |
|
7. เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่เรือนจำจัดขึ้น (ในภาพ เป็นงานสงกรานต์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลจัดให้ผู้ต้องขัง) |
|
8. นั่งสมาธิ การทำวิปัสนาหรือนั่งสมาธิช่วยให้ผู้ต้องขังมีจิตใจสงบและเยือกเย็น (ในภาพ คือผู้ต้องขังป่วยที่ออกมานั่งสมาธิที่สนามหญ้าในเวลาเช้า) |
|
9. ติดต่อพูดคุยกับญาติ การติดต่อกับญาติไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมหรือพูดคุยทางโทรศัพท์ จะช่วยให้สภาพจิตใจของผู้ต้องขังดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำวันแรกๆ |
|
10. ขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดความเครียด เจ้าหน้าที่ด้านต่างๆ เช่นนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ อนุศาสนาจารย์ อาสาสมัคร ฯลฯ อาจช่วยแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์(ในภาพ เป็นอาสาสมัครจากกลุ่ม NGO ที่เข้ามาพูดคุยเป็นกำลังใจ |
เหตุผล :
- เชื้อวัณโรคมากับอากาศ
- ผู้ต้องขังอยู่ รวมกันอย่างแออัด
- ผู้ต้องขังมีเกณฑ์สุขภาพต่ำกว่าประชากรทั่วไป เพราะ มีผู้ติดยาเสพย์ติดและติดเชื้อเอดส์มาก
วิธีเอาตัวรอด :
1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. งดบุหรี่และยาเสพติด
3. แจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลทราบเมื่อมีอาการที่ส่อว่า อาจเป็นวัณโรค เช่น
- ไอ เรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ หรือ ไอเป็นเลือด
- มีไข้เรื้อรัง
- น้ำหนัก ลด
4. เมื่อถูกตรวจพบว่าเป็นวัณโรค ต้องกินยาให้สม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง การรักษาวัณโรคภายในเรือนจำมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจาก เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จะเฝ้าดูการกินยาของผู้ป่วยทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้กลืนยาลงไปจริง (ชนิดของยา วิธีกิน และการเฝ้าดูผู้ป่วยกินยา เป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วโลก) เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ผู้ต้องขังไม่ควรหลีกเลี่ยงการกินยา
ติดคุกก็ใช้ E-mail ได้ |
|
|
|
ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้นำ E-mail มาใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างผู้ต้องขังป่วย และญาติมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องขังป่วยได้สะดวก การใช้ E-mail จะช่วยให้ประหยัดค่าส่งจดหมายระหว่างประเทศลงได้มาก
นอกจากนี้ ภาพถ่ายดิจิตอลของผู้ต้องขังป่วยที่ส่งฝากไปกับ E-mail ให้ญาตินั้น ช่วยทำให้ญาติผู้ป่วยได้เข้าใจ และรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่และอาการป่วยของผู้ต้องขังได้ดี
กติกา :
|
การฝึกวิชาชีพ |
|
|
|
เรือนจำแต่ละแห่งจะมีการฝึกวิชาชีพ ที่แตกต่างกัน เช่น ช่างไม้ ช่างสี ช่างโลหะ ช่างจักสาน เกษตรกรรม เป็นต้น คณะกรรมการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังของเรือนจำ จะเป็นผู้กำหนดการฝึกวิชาชีพให้เหมาะกับ อายุ อาชีพเดิมและตามความต้องการของตัวผู้ต้องขังเอง การฝึกวิชาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้นั้น เรือนจำจะแบ่งเงินปันผลให้ผู้ต้องขัง 50% ของรายได้สุทธิ
ข้อ ควรปฏิบัติในการฝึกวิชาชีพ
|
อยากรู้ชื่อของผู้ต้องขังที่จะถูกปล่อยตัวจะต้องเข้าไปดูที่ไหนค่ะ
ตอบลบเวลาผู้ต้องขังเขียนจดหมายหาญาติ จะระบุหรือไม่ว่าจดหมายออกมาจากเรือนจำ
ตอบลบถ้าจัดฟันอยู่ล่ะครับจะต้องถอดเครื่องมือก่อนเข้าคุกหรือปล่าว
ตอบลบ