โซดอม และ กอมเมอร์ราห์ (Sodom and Gommorah)
นครแห่งบาป
เมื่อ เอ่ยถึงนครแฝด ทั้งสองนี้คงมีหลายท่านที่คุ้นหูและผ่านตากันดีกับเมืองที่เต็มไปด้วยความ ชั่ว และบาปหนาจนเกินกว่าที่แผ่นดินจะแบกรับได้ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงฝังเมืองนี้ไว้ใต้ธรณี ตามพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลนั้น อิบรอฮีม(อับราฮัม) ได้ส่ง “ลูฏ”(โลต) หลานชายของท่านไปยังเมืองโซดอมเพื่อตักเตือนชาวเมืองให้เห็นถึงผลร้ายของ ความชั่วดังกล่าวและละเว้นจากพฤติกรรมนี้เสียแต่ความพยายามของลูฏก็ไม่ประสบ ผลสำเร็จ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีและดูเหมือนว่ายิ่งนานวัน ศีลธรรมของผู้คนในเมืองโซดอมจะยิ่งเสื่อมทรามลงทุกวัน (โปรดดูวิดีโอสารคดี เรื่อง Sodom and Gomorrah ท้าย entry นี้ประกอบ)
ภาพ ชาวเมืองโซดอมที่มัวเมาในความบาปและความชั่ว
ความชั่ว และบาปทุกชนิดสุดที่จะบรรยายได้ล้วนมีอยู่ในเมืองโซดอมและกอม เมอร์ราห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมเสพกามวิปริตต่างๆ ลักร่วมเพศระหว่างชายด้วยกันเรียกได้ว่าสมัยนั้นเมืองทั้งสองนี้เป็นสรวง สวรรค์ของเกย์เลยทีเดียวนอกจากเสพกันเองในหมู่ชาวเมืองแล้ว หากมีพ่อค้าหรือผู้สัญจรผ่านไปมาจะถูกนำตัวไปข่มขืนอย่างทารุณแต่นั่นย่อม หลังจากที่ชาวเมืองได้รุมทึ้งขโมยสินค้าและเงินทองของคนเหล่านั้นเสียก่อน ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมที่ทำให้เมืองนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ คือความนิยมในเรื่องรักร่วมเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกันจนชื่อของเมืองนี้ได้กลาย เป็นที่มาของคำว่า “โซโดมี” (Sodomy) ซึ่งหมายถึงการรักร่วมเพศนั่นเอง
เมื่อ ไม่มีอำนาจใดสามารถยับยั้งความชั่วได้ ลูฏจึงได้วิงวอนต่อพระเจ้าให้ลงโทษผู้คนในเมืองโซดอมเพื่อมิให้ความชั่วของ คนในเมืองนี้แพร่หลายออกไปยังดินแดนอื่น ดังนั้นพระเจ้าจึงตัดสินใจทำลายเมืองทั้งสองนี้ พระองค์ส่งทูตสวรรค์ลงมาแจ้งลูฏให้พาครอบครัวหนีภัยไปจากเมืองโซดอมโดยด่วน เวลาหนีก็ให้เร่งไปอย่างเร็วที่สุดอย่าได้หยุดหันหลังมองไปทางเมืองที่กำลัง ระเบิดเป็นอันขาด.... เรื่องนี้ภริยาของลูฏไม่เชื่อ อาจเป็นเพราะนางเป็นสตรีจึงมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าบุรุษ ได้หันกลับไปมองเมืองที่เพิ่งผละจากมา ผลก็คือ ร่างของนางกลายเป็นเสาเกลือ (Pillar of Salt) ติดตรึงอยู่ ณ ที่นั้น และยังคงปรากฏสืบมาจนถึงเดี๋ยวนี้
นครแห่งบาปล่มสลาย Lot ออกจากเมือง เสาหินเกลือ Lot's Wife
ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของ โซดอมและกอมเมอร์ราห์นั้น อยู่ในบริเวณที่เรียกว่าหุบเขาซิดดิม (Siddim) ใกล้กับทะเลแห่งความตาย "Dead Sea" ซึ่งเป็นความลับอันนน่าสะพรึงกลัวของโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะคุณภาพพิเศษอันไม่เหมือนใครของน้ำในทะเลแห่งนี้ ชาวโรมันเรียกว่า "ทะเลยางมะตอย" (Sea of Asphalt) ชาวกรีกกล่าวว่า เหนือทะเลเต็มไปด้วยแก๊สพิษที่เป็นอันตราย ส่วนชาวอาหรับเล่าว่าเป็นทะเลอาถรรพณ์ นกตัวไหนบินข้ามก็ตกลงมาตายหมด...ทะเลเด้ดซีครองความลับอันยิ่งใหญ่มานานจน ถึงปี ค.ศ. 1848 นักธรณีวิทยาจึงสำรวจดูรู้ว่า น้ำในทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยเกลือ ซึ่งทำให้มีคุณภาพพิเศษแตกต่างจากที่อื่น เช่นวัตถุที่ตกน้ำจะไม่จม เป็นต้น... การค้นพบความลับของทะเลเด้ดซีนำไปสู่ความลับอย่างอื่น นั่นคือ รอบๆ บริเวณทะเลสาบ จะมีเกลือจับก้อนหินก้อนดินกลายเป็นโขดเขาเกลือขึ้นเรียงรายอยู่เป็นอันมาก หนึ่งในจำนวนนี้ได้แก่ เสาเกลือ ที่มีรูปร่างมองผาดๆ คล้ายสตรียืนอยู่... นี่แหละที่มาของตำนานภริยาลูฏผู้กลายเป็นเสาเกลือ ไปตามความในพระคัมภีร์
ที่ ตั้งของเมือง Sodom และ Gomorrah ที่ค้นพบ
นอกจากนี้ การค้นพบความลับของทะเลสาบเด้ดซี ยังนำไปสู่ความสนใจในทางโบราณคดีอีกด้วย ศาสตราจารย์ ดับบลิว เอฟลินซ์ นักธรณีวิทยาใหญ่เกิดนึกถึงเมืองชื่อ โซดอม กอมเมอร์ราห์ในพระคัมภีร์ได้ว่า เคยตั้งอยู่ในหุบเขาซิดดิมนี้แหละ ร่วมกับเมืองอื่นๆ อีก 3 เมือง คือ โซอาร์, เซบัวอิม และ แอดมาห์... เมื่อค้นพบทั้งทะเลเด้ดซี, แม่น้ำจอร์แดน และหุบผาซิดดิม แล้วก็น่าจะพบซากเมืองในพระคัมภีร์เหล่านี้ (ถ้ามีอยู่จริง) จึงได้ทำการค้นหาเป็นการใหญ่ พบว่าด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเด้ดซีมีซากเมืองโบราณที่ชาวอาหรับเรียก ว่า "ไรอาร์" ตามชื่อเมืองในพระคัมภีร์อยู่ด้วยจริงๆแต่จากการขุดสำรวจทางโบราณคดี พบว่าซากเมืองไรอาร์เป็นเมืองใหม่เกิดขึ้นในสมัยกลางนี่เอง นักโบราณคดีจึงทำการค้นหาซากเมืองในพระคัมภีร์ต่อไป
แผนที่เมืองโบราณทั้ง 5 ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ความพยายามนำมาซึ่ง ความสำเร็จ และเป็นความสำเร็จที่ยืนยันความถูกต้องบางประการของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในฐานะ ตำราประวัติศาสตร์ได้ด้วย นั่นคือ ถ้าจะไปค้นหาซากเมืองโซดอมและกอมเมอร์ราห์บนพื้นดินก็หาไม่พบ เพราะจมลงไปอยู่ใต้ผิวทะเลเด้ดซี โซดอมและกอมเมอร์ราห์จมลงไปใต้น้ำด้วยแรงระเบิดจริง แต่ไม่ใช่ระเบิดของทูตสวรรค์ตามข้อความในพระคัมภีร์ ทว่า เป็นแรงระเบิดของธรรมชาตินี่เอง นั่นคือโซดอมและกอมเมอร์ราห์จมน้ำเพราะแผ่นดินไหว
การค้นพบร่องรอยของเมืองโดยนักธรณีวิทยาและนัก โบราณคดี
นักธรณีวิทยาที่ ทำการสำรวจดินแดนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า ระหว่างที่นั่งเรือสำรวจทะเลเด้ดซีนั่นเอง ในวันที่อากาศดี น้ำใสเป็นพิเศษก็สามารถมองเห็นซากปรักหักพังใต้น้ำได้รำไร.... ซากของโซดอมและกอมเมอร์ราห์นั่นเอง ที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่ได้ก็เพราะเกลือในทะเลช่วยรักษาไว้ให้คงรูปเดิม จากการคำนวณอายุของซากเมืองใต้ทะเลพบว่ามันมีอายุย้อนหลังไปสมัยปี 1900 ก่อนคริสตกาล....ก็สมัยเดียวกับลูฏและอับราฮัมนั่นเอง....โซดอมและกอม เมอร์ราห์จึงมีอยู่จริงๆ ในยุคสามัยเดียวกับบุคคลในพระคัมภีร์
หลักฐานทางธรณีวิทยา
การที่แผ่น ดินซึ่งเดิมเคยอยู่เหนือน้ำแล้วอย่ๆเลื่อนต่ำลงจนจมลงไปใต้น้ำนั้นไม่ใช่ เรื่องแปลกประหลาดอะไร เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก ส่วนหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน (หรืออาระเด็นตามฉบับคำแปลภาษาไทย) ก็ค่อยๆ เลื่อนลดลงไปอยู่ใต้ทะเลเด้ดซีเหมือนกัน แต่ในกรณีของโซดอมและกอมเมอร์ราห์ไม่ได้เกิดจากการค่อยๆ เลื่อนลงไปใต้น้ำ แต่นักธรณีวิทยาได้คำนวณว่าเกิดจากแผ่นดินไหวในบริเวณนี้อย่างรุนแรงจน กระทั่ง "กำมะถันและไฟจากพระยะโฮวาลงมาจากฟ้าตกที่เมืองซะโดมและเมืองกะโมรา พระองค์ได้ทรงทำลายเมืองเหล่านี้ คือแถบที่ราบนั้นทั้งหมดและพลเมืองทั้งสิ้นและบรรดาพืชพันธุ์ที่งอกขึ้นจาก แผ่นดินให้พินาศไปสิ้น" ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้ว
หลักฐานทางธรณีวิทยา
แจ๊ค ฟินนิแกน นักธรณีวิทยาคนสำคัญชาวอเมริกันกล่าวไว้ในปี ค.ศ. 1951 ว่า ความพินาศของ "เมืองบนที่ราบ" อันหมายถึงโซดอมและกอมเมอร์ราห์นี้เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งตามติดมา ด้วยการระเบิดของแร่ธาตุใต้ดิน และอสุนีบาตอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้แก๊สธรรมชาติพวยพุ่งขึ้นกระทบสายอสุนีบาตเกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้น ทำลายเมืองทั้งสองราบคาบลง แล้วทรุดลงไปใต้ทะเลเด้ดซี(นึกภาพแล้วขนพองสยองเกล้ามากยิ่งกว่ารถแก๊ส 1000คันระเบิดอีก)
นักธรณี วิทยาคนอื่นได้สำรวจเพิ่มเติมแล้วพบว่าใต้ทะเลแถวๆ นั้นมีภูเขาไฟด้วย จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ภูเขาไฟอาจระเบิดซ้ำเติม ทำให้มองเห็นภาพ "กำมะถันและไฟ" ซึ่งพวยพุ่งจากใต้ดินสูงขึ้นไปในอากาศแล้วหวนตกลงมาทำลายชาวเมืองอีก ครั้งออกจะเป็นภาพที่น่าสยดสยองในสายตาของผู้พบเห็นในยุคนั้นยิ่งนัก จนไม่รูจะเปรียบเทียบกับอะไรดี นอกจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า
หาก ไม่ได้นักธรณีวิทยาและนักโบราณคดีค้นคว้ากันอย่างใกล้ชิด เมืองในพระคัมภีร์ทั้งสองก็คงเป็นเมืองที่จมอยู่ในเงามืดตลอดกาล ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง เพราะไม่มีซากเหลือให้เห็นอีกเลย การค้นคว้าหาหลักฐานข้อเท็จจริงตามพระคัมภีร์จึงต้องพึ่งวิทยาการสมัยใหม่ อยู่มากแต่เมื่อค้นคว้าแล้วก็ไม่ผิดหวัง คัมภีร์ไบเบิ้ลบางตอนจึงสามารถใช้เป็นประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ทีเดียว อันการที่เมืองถล่มทลายลงไปใต้ดินนี้ คนโบราณเขาบันทึกไว้เกือบทุกชาติ แสดงว่าในอดีต เคยมีเมืองถล่มมาแล้วทั่วโลกนับแต่ทวีปแอตแลนติสเป็นต้นมา ในพระเวทของอินเดียก็กล่าวถึงเมืองทวารกาที่จมลงไปใต้ทะเล
อ้างอิง : arkdiscovery.com ,หนังสือ เปิดนครในตำนาน โดย ไดโนเสาร์ (แก่)
คัดลอก จาก: http://cid-ebb8f3cb9f8e21ef.spaces.live.com/blog/cns!EBB8F3CB9F8E21EF!702.entry
ชอบครับ ได้ความรู้ดี
ตอบลบ