ยุคนี้กระแสลดโลกร้อนและเทรนด์อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงในแวดวงธุรกิจแทบทุกแขนง ไม่เว้นแม้กระทั่งในวงการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ทและสปา ซึ่งอันที่จริงมีรีสอร์ทและสปาหลายแห่งในเอเชียที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นสปา “สีเขียว” เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมานานแล้ว
และนี่ก็คือรายชื่อ “10 สุดยอดสปาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Spa) ในเอเชีย” รายงานโดยนักเขียนบทความสาว “ฟรานเซส ฟรานเกนเฮม” มาดูกันว่าจะมีที่ไหนบ้าง
1. Alila Villas Hadahaa – สาธารณรัฐมัลดีฟส์
**
รีสอร์ท “Alila Villas Hadahaa” (ในเครือโรงแรมอลีลา ชะอำ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “Mandara Spa” เพิ่งเปิดดำเนินการที่มัลดีฟส์เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และได้รับยกย่องว่าเป็นรีสอร์ทที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นบูติกรีสอร์ทสุดหรูที่ตั้งอยู่บนเกาะปะการังทางตอนใต้ รายล้อมด้วยแนวปะการังอันอุดมสมบูรณ์ก็ตาม แต่ “Alila Villas Hadahaa” ก็เป็นรีสอร์ทแห่งแรกในมัลดีฟส์ที่ได้รับการออกแบบและมีระบบบริหารจัดการ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนตามมาตรฐานสากล “Green Globe*”
*Green Globe คือ โครงการจัดการสิ่งแวดล้อมสำหรับกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม ครอบคลุมไปถึงการดูแลสถานที่ท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันมีสมาชิกโครงการอยู่ทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ
ถึงแม้จะเป็นรีสอร์ทเชิงนิเวศน์ แต่ความหรูหรา สะดวกสบาย กลับไม่ด้อยไปกว่ารีสอร์ทหรูแห่งอื่นๆ ในมัลดีฟส์เลย มิหนำซ้ำ อาคารที่พักยังได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ที่สวยงาม นอกจากแขกผู้มาเยือนจะได้พักผ่อนอย่างมีสไตล์ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ แล้ว ยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณกุศลกับทางโรงแรมอีกด้วย
**********
2. Gayana Eco Resort – มาเลเซีย
**
กายานา อีโค รีสอร์ท ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “The Solace Spa” ประกอบด้วยวิลล่าหรู 44 หลังบนแนวปะการังเก่าแก่ โอบล้อมด้วยป่าฝนอันเขียวชอุ่มนอกชายฝั่งของเกาะบอร์เนียว
ต้องบอกว่าสภาพแวดล้อมและผืนป่าในแถบนี้ โชคดีที่นายทุนเจ้าของรีสอร์ทมีความรับผิดชอบ ทั้งยังเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ จึงไม่คิดทำลายและพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้ส่งผลกระทบต่อสิ่ง แวดล้อมน้อยที่สุด
มิหนำซ้ำ ยังก่อตั้งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางน้ำ ที่ไม่เพียงเป็นสำนักงานของเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชม ซึ่งนอกจากจะมีปะการังสีสันสดใส และสัตว์น้ำหายากให้ได้ชมและศึกษากันอย่างใกล้ชิดแล้ว ผู้เข้าชมยังสามารถเข้าร่วมโครงการปลูกปะการังกับทางรีสอร์ทอีกด้วย
**********
3. Soneva Kiri (โรงแรม โซนีว่า คีรี บาย ซิกส์เซนส์ เกาะกูด) – ประเทศไทย
**
โรงแรม โซนีว่า คีรี บาย ซิกส์เซนส์ เกาะกูด เป็นบทพิสูจน์ของข้อสงสัยที่ว่า “สถานที่พักตากอากาศสุดหรูจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการปลดปล่อยก๊าซ คาร์บอนเท่ากับ “ศูนย์” ได้หรือไม่” ซึ่งคำตอบก็ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดโดยผ่านทาง “อีโค วิลล่า” หนึ่งในที่พักสุดหรูหลากหลายรูปแบบของที่นี่
“อีโค วิลล่า” เป็นที่พักสุดหรูแบบยั่งยืนและพึ่งพาตนเอง (มีระบบเก็บกักน้ำฝนและนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในระบบให้แสงสว่าง) ตัวอาคารสร้างจากก้อนหิน ดินโคลน และไม้ ที่หาได้ในละแวกโรงแรม แม้แต่สระว่ายน้ำส่วนตัวแบบธรรมชาติ ใน “อีโค วิลล่า” ยังอาศัยพืชน้ำช่วยทำความสะอาด จึงปราศจากคลอรีน
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีสปานานาชนิดให้เลือกใช้บริการ ทั้งยังมีจุดชุมวิวล้ำสมัย และ “Cinema Paradiso” หรือจอฉายภาพยนตร์กลางแจ้งให้ได้ชมกันในเวลากลางคืนอีกด้วย
**********
4. Daintree Eco Lodge and Spa – ทางตอนเหนือของรัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
**
ถ้าใครอยากพักผ่อนท่ามกลางผืนป่าอันอุดม สมบูรณ์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตป่าฝนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (135 ล้านปี) และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ก็ต้องไปที่อุทยานแห่งชาติเดนทรี ซึ่งเป็นเขตร้อนชื้นทางตอนเหนือของรัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย (ห่างจากสนามบินนานาชาติแครนส์ เพียง 90 นาที)
ที่นั่นคุณจะได้พบกับ “เดนทรี อีโค ลอดจ์ แอนด์ สปา” ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนสุดหรูที่ติดอันดับ “101 สปาดีที่สุดในโลก” ประจำปี 2009 ของนิตยสารแทตเลอร์ ยูเค ประเทศอังกฤษ โรงแรมดังกล่าวมีวิลล่าเพียง 15 หลังตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ภายใต้แนวคิดในการก่อสร้างที่ต้องการให้ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด แต่ก็ให้บรรยากาศที่สวยงามและเงียบสงบที่สุดสำหรับแขกผู้มาเยือน
สปาของที่นี่เปิดให้บริการในหลากหลายรูปแบบ ผู้ใช้บริการจะได้รับการปรนนิบัติท่ามกลางธรรมชาติ ในบรรยากาศของป่าฝน ปรนเปรอผิวพรรณด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ อาทิ ผลไม้พื้นเมือง ดอกไม้ ถั่วชนิดต่างๆ และเมล็ดพันธุ์พืช เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้มาเยือนยังสามารถเข้าร่วมโปรแกรมเดินป่า เพื่อศึกษาวิถีธรรมชาติและอารยธรรมโบราณของชนเผ่าอะบอริจินอีกด้วย
**********
5. Heritance Kandalama – ศรีลังกา
**
“Heritance Kandalama” ที่ประเทศศรีลังกา ได้รับยกย่องเรื่องนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นที่รู้จักในฐานะรีสอร์ทหรู 5 ดาวที่นำการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรืออีโค ทัวร์ มาใส่ลงบนแผนที่ท่องเที่ยวของประเทศศรีลังกา ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดใน โลก
รีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “ซิกส์เซนส์ สปา” ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาหิน 2 ลูก ให้มุมมองที่สวยงามของ “สิกิริยา” ซึ่งเป็นเมืองและป้อมปราการหินโบราณ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ได้รับการออกแบบให้คำนึงถึงสภาพแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ จึงไม่มีต้นไม้ใหญ่สักต้นที่ถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายในระหว่างการก่อ สร้าง
มิหนำซ้ำ ตัวอาคารยังได้รับการออกแบบให้เปิดรับแสงสว่างจากทางด้านนอกได้แบบเต็มๆ โดยผ่านทางประตูและหน้าต่าง จึงไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่น้ำอุ่นใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ ส่วนน้ำก็สูบขึ้นมาจากบ่อเก็บกักน้ำฝน ทั้งยังมีระบบรีไซเคิลและบำบัดของเสียที่ล้ำสมัย เพื่อป้องกันไม่ให้มีของเสียเล็ดลอดอันอาจส่งผลกระทบต่อทะเลสาปเก่าแก่ และป่าฝนบริสุทธิ์ (ยังไม่เคยถูก ทำลาย) ที่อยู่รายรอบ
**********
6. Amanwana – บาหลี อินโดนีเซีย
**
บูติกเต็นท์รีสอร์ทริมชายหาดของ “Amanwana” เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบแคมปิ้ง เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขตร้อนชื้น และหันหน้าออกทะเล จึงสามารถเลือกที่พักได้ 2 สไตล์ คือ แบบเต็นท์หรูที่อยู่ในป่า และเต็นท์แบบริมชายหาด ซึ่งมีทั้งหมด 20 หลังด้วยกัน
“Amanwana” ตั้งอยู่บนเกาะโมโย ทางทิศตะวันออกของบาหลี ซึ่งถือเป็นเขตอนุรักษ์และสงวนพันธุ์สัตว์ป่า ที่มีสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะ นกอินทรีย์ เหยี่ยวทะเล (osprey) ลิงแสม เต่ากระ ปลาดาวสีน้ำเงินตัวใหญ่ยักษ์ และ กวางรูซา ซึ่งเป็นสัตว์พื้นเมืองอีกด้วย
รีสอร์ทแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของสปา “Jungle Cove” ซึ่งเปิดให้บริการแบบกลางแจ้งริมชายหาดภายใต้ร่มเงาของต้นมะขาม แต่ถ้าต้องการปรนนิบัติผิวและผ่อนคลายสไตล์มิดชิด ก็สามารถเลือกใช้บริการ “Spa Tent” ได้เช่นกัน
**********
7. Banyan Tree Lijiang – ลี่เจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน
**
บันยันทรี ลี่เจียง เป็นโรงแรมหรู 5 ดาวที่คว้ารางวัลในด้านต่างๆ มาแล้วอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเพิ่งได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่คู่ฮันนีมูนมาพักแล้ว รู้สึกประทับใจ
โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนทำเลที่มีสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่โดดเด่น ทั้งยังอยู่ใกล้เมืองเก่าที่มีชื่อว่า “ต้าเหยียน” (Dayan) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) แถมห้องพักสุดหรูจำนวน 122 ห้อง ยังให้มุมมองของภูเขาหิมะมังกรหยกที่ทอดตัวยาว 35 กิโลเมตรและถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ (ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หายาก และถูกระบุให้เป็นสัตว์สงวนถึง 30 ชนิด)
นอกจากความหรูหรา โรแมนติก และมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ใกล้เคียงให้ศึกษามากมายแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมหลายอย่าง รวมทั้งการเข้าร่วมในโครงการปลูกต้นไม้ปีละ 2 พันต้น (บริเวณพื้นที่โดยรอบ) ของโรงแรมในเครือบันยันทรีอีกด้วย
**********
8. Malihka Lodge – สหภาพพม่า
**
มาลิห์กา ลอดจ์ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือของสหภาพพม่า (จังหวัดปูตาโอ รัฐคะฉิ่น) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยและพักพิงของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ หมีหายาก ผีเสื้อป่า ฯลฯ รวมถึงพรรณไม้ป่าหายากของโลกอย่าง “กล้วยไม้สีดำ” เป็นต้น
ที่นี่ประกอบด้วยบังกาโล 8 หลังตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ ภายใต้อ้อมกอดของขุนเขาและสายน้ำ ออกแบบโดยนายยีน มิเชล กาธีย์ สถาปนิกชื่อดังระดับโลกแห่งอามันรีสอร์ท ถึงแม้จะแลดูเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ที่นี่อยู่ห่างจากลานบินในจังหวัดปูตาโอเพียง 15 นาทีเท่านั้น
นอกจากที่พักสุดหรูท่ามกลางธรรมชาติแล้ว มาลิห์กา ลอดจ์ ยังมีสปาหลากรูปแบบไว้คอยบริการ และถ้าอยากใครอยากปิดท้ายด้วยการเสริมสวยแบบพื้นบ้าน ที่นี่ก็มีบริการแต่งหน้าด้วยแป้งทานาคาที่นอกจากจะช่วยให้ใบหน้ารู้สึกเย็น สบายแล้ว ยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดสไตล์พม่าขนานแท้อีกด้วย
**********
9. Wolgan Valley Resort & Spa – บลู เมาท์เท่นส์ ออสเตรเลีย
**
เมื่อ 5 ปีที่แล้วกลุ่มธุรกิจ “เอมิเรตส์ โฮเต็ลส์ รีสอร์ท” ประกาศสร้างโรงแรมสุดหรูที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในประเทศ ออสเตรเลีย ภายในเขตมรดกโลก “Greater Blue Mountains Heritage Area” (ห่างจากเมืองซิดนีย์ราว 3 ช.ม. ทางรถยนต์ หรือ 45 นาทีทางเฮลิคอปเตอร์) ที่ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยชาร์ลส์ ดาร์วิน เมื่อปี ค.ศ. 1836 (พ.ศ. 2379)
โรงแรมดังกล่าวมีชื่อว่า “Wolgan Valley Resort & Spa ” เพิ่งเปิดดำเนินการสดๆ ร้อนๆ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมหรูเชิงอนุรักษ์แห่งแรกของกลุ่มเอมิเรตส์ที่ตั้ง อยู่นอกเขตเมืองดูไบ และเป็นโรงแรมแห่งแรกในโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน carboNZero©™
ที่ผ่านมา โรงแรมแห่งนี้ได้ปลูกพืชพื้นเมืองมากกว่า 175,000 ต้นในบริเวณพื้นที่โดยรอบ ทั้งยังนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ทำความร้อน และนำวัสดุก่อสร้างใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ อาทิ ไม้เก่าๆ จากสะพาน เสาเหล็กจากรั้วเก่า และหินเก่าๆ จากอาคารที่ถูกรื้อถอน ฯลฯ โดยไม่ทำให้ความหรูหรา สง่างาม ของที่พักลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
**********
10. Galapita Healing Garden Mineral Spa – ศรีลังกา
**
รีสอร์ทเชิงนิเวศน์แห่งนี้ตั้งอยู่บนโขด หินเนื้อที่ 60 เอเคอร์ (152 ไร่) ริมฝั่งแม่น้ำ เมนิก คงคา (Gem River) อันศักดิ์สิทธิ์ ติดกับอุทยานแห่งชาติยาลา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศศรีลังกา เดิมทีเป็นบ้านตากอากาศส่วนบุคคล ปัจจุบัน เปิดเป็นรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก
“กาลาพิตา” ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ รายล้อมด้วยทะเลสาป สระบัว สวนสมุนไพร และทุ่งนา ตัวอาคารทั้งในส่วนของที่พัก และศาลาฝึกโยคะ สร้างขึ้นจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัสดุหมุนเวียนจากธรรมชาติ อาทิ ไม้ ก้อนหิน ดินโคลน ฯลฯ ทั้งสิ้น เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นอกจากนี้ ในส่วนของสปาและที่พักยังใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ส่วนสมุนไพรที่นำมาใช้บำบัดอาการในแบบอายุรเวช รวมทั้งอาหารที่ทำจากพืชผักปลอดสารก็ปลูกขึ้นเอง มิหนำซ้ำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “กาลาพิตา” ได้ปลูกต้นไม้พื้นเมืองในละแวกใกล้เคียงมาแล้วทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นต้น
กาลาพิตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลีกวิเวกหรือเบื่อความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ อย่างแท้จริง เพราะที่นี่อยู่ห่างจากเขตตัวเมืองมาก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่อาจเข้าถึงยากสักนิดเพราะหลังจากนั่งรถบัสหรือรถยนต์ออกจากเมืองหลวง (โคลัมโบ) แล้ว ก็ต้องต่อรถตุ๊กตุ๊กเข้าหมู่บ้าน จากนั้นยังต้องเดินข้ามแม่น้ำบนสะพานไม้โยกเยกสูง 40 ฟุตจึงจะถึงที่พัก ส่วนห้องหับก็ไม่มิดชิดเท่าที่ควรเพราะไม่มีกำแพง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ใช้ชีวิตอย่างสมถะและเป็นหนึ่งเดียวกับ ธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง
ที่มา: bsnnews
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อารายเหรอ