วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกาะปาปัวนิวกินี ชนเผ่ามนุษย์ กินคนที่โด่งดังที่สุด


ปาปัวนิวกินีเป็นเกาะอยู่ทางเหนือ ของทวีปออสเตรเลีย มีพื้นที่ขนาดเท่าประเทศไทย แต่มีพลเมืองเพียงครึ่งหนึ่ง ของกรุงเทพมหานครเท่านั้น มีเมืองหลวงซึ่งเป็นเมืองท่าด้วยชื่อ ปอตมอสบี ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆมากกว่า 700 เผ่า แต่ละเผ่าต่างคนต่างอยู่ การเดินทางไปมาหาสู่กันลำบากมาก เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน

แรกทีเดียวเกาะนี้มีชื่อว่านิวกินี ในราวต้นศตวรรษที่ 18 นักเดินเรือชาวยุโรปได้เดินทางหลงไปพบเกาะนี้โดยบังเอิญ ได้พบเห็นชนพื้นเมืองชาวเกาะมีผมหยิก จึงเรียกเกาะดังกล่าวว่า ปาปัวส์ ซึ่งแปลว่าพวกผมหยิก ตั้งแต่นั้นมา เกาะทางด้านใต้จึงรู้จักกันในนามปาปัว ส่วนด้านเหนือยังคงเรียกกันว่านิวกินี

เมื่อสมัยที่ยังมีการล่าเมืองขึ้นกัน เยอรมันได้ครอบครองทางด้านเหนือ ส่วนทางด้านใต้อังกฤษหรือตัวแทนคือออสเตรเลียได้ครอบครองไว้ พอหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันแพ้สงครามสหรัฐ อเมริกาจึงเข้าครอบครองแทน แล้วต่อมาได้มอบให้ออสเตรเลีย ดังนั้น ในระยะหลังออสเตรเลียจึงเข้าปกครองไว้ทั้ง 2 เขต

จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ออสเตรเลียเห็นว่าควรจะให้ชนพื้นเมืองปกครองตนเองได้แล้ว จึงให้ปาปัวและนิวกินีได้รับอิสรภาพเรียกว่าประเทศปาปัวและนิวกินี ต่อมาตัดคำว่า "และ" ออกเสีย เพื่อไม่ให้มีความรู้สึกแบ่งแยกกัน ชื่อใหม่จึงเป็นประเทศปาปัวนิวกินีจนทุกวันนี้ และถือว่าเป็นประเทศที่เกิดใหม่ในโลกอีกหนึ่ง

ในสมัยแรกๆที่ชาวยุโรปเดินทาง ไปถึงปาปัวนิวกินีนี้เอง พวกหมอสอนศาสนาคริสต์ ผู้ ซึ่งมีอุดมการณ์แก่กล้า ในอันที่จะเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ให้ถึงดินแดนลึกลับนี้ ได้เดินทางเข้าไปยังประเทศนี้ และได้เกิดเรื่องที่น่าสยดสยองขึ้น

ประมาณต้นศตวรรษที่ 19 มีคณะสอนศาสนา ซึ่งเป็นหญิงล้วนคณะหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อารักขา ซึ่งมีอาวุธปืนทันสมัยประจำกายเดินทางไป ยังหมู่บ้านของชนเผ่าหนึ่งเพื่อสอนศาสนา เมื่อเดินทางล้ำเข้าไป ในเขตครอบครอง ของชนเผ่านั้น ก็ออกมาสกัดกั้นเพราะถือว่าเป็นการบุกรุก จึงต้องให้พวกคณะสอนศาสนาเดินทางกลับเสีย แต่คณะสอนศาสนาไม่ยอมทำตามคงเดินทางต่อไป ชาวพื้นเมืองจึงได้ใช้อาวุธอันมี มีด หอก หลาว แหลน หน้าไม้ เข้าโจมตี การต่อสู้นองเลือดจึงได้อุบัติขึ้น ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บและตายกันเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดคณะสอนศาสนาก็ยอมแพ้

เมื่อสามารถรบชนะพวกรุกรานได้แล้ว คืนนั้นจึงมีพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ และกินเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริก ซุปเนื้อมนุษย์เป็นรายการอาหารสำคัญของงาน วิธีปรุงอาหารรายการนี้ง่ายมาก นำน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ต้มให้เดือด บั่นศพมนุษย์ที่ตายทั้งสองฝ่ายให้มีขนาดที่จะใส่ในหม้อนั้นได้ใส่ลงในหม้อ นำผักชนิดต่างๆ รวมทั้งมันและเผือกใส่รวมลงไปด้วย ต้มจนสุกและเปื่อยดีแล้วก็ตักออกมากินกัน

ส่วนคนที่ยังไม่ตายก็มัด ไว้ก่อนและค่อยๆ ฆ่าให้ตาย นำมาปรุงเป็นอาหาร กินเลี้ยงกันในคืนต่อๆ มา

รองเท้าหนัง ถุงเท้า ตลอดจน เสื้อผ้าก็ถูกนำมาต้มจนเปื่อย และกินจนหมดสิ้นเช่นเดียวกัน สำหรับหัวกะโหลกเก็บไว้ เป็นเครื่องประดับตามบ้าน

ไหนๆ ก็ได้เล่าเรื่อง พิลึกกึกกือนี้มาแล้ว ก็เลยนึกอยากเล่าประเพณี กินน้ำเหลืองมนุษย์ให้ฟังเสียด้วยเลย ซึ่งเมื่อท่านได้ฟังแล้ว คงไม่นึกอยากจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในโลกของเรานี้

จะกล่าวถึงเรื่อง การกินน้ำเหลืองมนุษย์ ในปาปัวนิวกินีให้ท่านทราบ

แต่ก่อนที่จะได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ใคร่ขอเรียนถึงเรื่องราวความเป็นไปเกี่ยวกับ ชาวปาปัวนิวกินีสักเล็กน้อย เพื่อท่านจะได้เข้าใจถึงรูปร่างหน้าตา ถิ่นกำเนิด และทำไมจึงกินเนื้อมนุษย์

จาก ความหมายของชื่อประเทศก็พอจะทราบเป็นเลาๆว่า คนที่ปาปัวนิวกินีมีผมหยิก เพราะคำว่าปาปัวส์แปลว่า พวกคนผมหยิกเป็นภาษาดัตช์

คนที่ผมหยิก ตาพอง หัวโต จมูกเหี่ยว ปากแบะ ไหล่กว้าง พุงป่อง ก้นปอด ขาสั้น แขนยาว เห็นแล้วรู้สึกกลัวๆ".

เขามา จากไหน

มีหลักฐานบางอย่างทำให้เชื่อว่า คนปาปัวนิวกินี น่าจะอพยพมาจากพวกที่อาศัย อยู่ในแถบทวีปอเมริกาใต้ หรือแถบประเทศเปรูในปัจจุบัน เพราะอาหารหลัก ที่กินกันอยู่เป็นประจำคือสวีตโปเตโต้นั้น ทั้งชาวปาปัวนิวกินีและชาวอเมริกาใต้นิยมกินกันมาก ไม่กินข้าวอย่างเรา จึงน่าจะเชื่อได้ว่าชนทั้งสองกลุ่มมีถิ่นกำเนิดเดียวกัน

แต่ทว่าทำไม ชนทั้งสองกลุ่มนี้ จึงอยู่ไกลกันคนละมุมโลกเล่า?

ปัญหานี้เข้าใจกันว่า เมื่อสมัยก่อนชาวอเมริกา ใต้ที่ชอบผจญภัย อาจจะใช้แพเป็นพาหนะเดินทางมา ในมหาสมุทรแปซิฟิก พบหมู่เกาะโปลินีเชี่ยน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งรกรากอยู่ที่นั่นก่อน ต่อจากนั้นก็เดินทางมายังปาปัวนิวกินี

ทำไมจึงต้องกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร

น่าเชื่อที่สุด สัตว์หลายชนิด ก็กินกันเองเป็นอาหาร มนุษย์เราก็เป็นสัตว์ แล้วทำไมจะกินกันเอง ไม่ได้ถ้าถึงคราวจำเป็น อย่างทหารเกาหลี ในสงครามเมืองจีน ก็เคยผ่าศพทหารด้วยกัน ควักเอาหัวใจ ตับ ออกมากินเป็นอาหาร ในเวลาที่อดอยากมากๆ ผู้ที่รอดตายจากเครื่องบินตก ที่ติดอยู่บนยอดเขาหลายวัน ก็ต้องกินเนื้อสะโพก และเนื้อที่ขาของผู้โดยสารด้วยกันที่ตายเป็นอาหาร เพื่อประทังชีวิตเหมือนกัน

ทีนี้ มาพูดถึงชาวปาปัวนิวกินีกันบ้างว่า ทำไมจึงกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร

ย้อนไปถึงเมื่อนักผจญภัยชาวอเมริกาใต้ เดินทางมาถึงปาปัวนิวกินี ในตอนแรกได้ตั้งรกรากกันอยู่ในบริเวณชายทะเลก่อน เพราะอาหารอุดมสมบูรณ์ดี แต่มียุงชุกชุม เป็นเหตุให้ตายกันมากเพราะไข้มาลาเรีย ทำให้ต้องอพยพกันเข้าไปในใจกลางของเกาะซึ่งมีอากาศเย็นกว่า เพราะอยู่บนเทือกเขาและยุงไม่ชุม แต่อาหารไม่อุดมสมบูรณ์ มีก็เพียงสัตว์บางชนิด เช่น แกงการู ซึ่งนานๆเข้าก็หายาก นักผจญภัยซึ่งในที่นี้เราจะเรียกเขาว่าชาวปาปัวนิวกินี ก็เริ่มขาดอาหารจำพวกโปรตีน ขาดมากๆเข้าธรรมชาตินั่นจะเป็นตัวกระตุ้น ทำให้ต้องกินกันเองเพื่อจะได้โปรตีนมาเพื่อร่างกาย นั่นคือที่มาของการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันของชาวปาปัวนิวกินี

ทีนี้ ก็จะได้กล่าวถึงการกินน้ำเหลืองของชาวปาปัวนิวกินีเสียที ซึ่งได้พูดนอกเรื่องมามาก ข้าพเจ้าบอกตรงๆว่า พูดถึงเรื่องนี้ทีไรคอมันตีบทุกที

คนบางเผ่าในปาปัวนิวกินี เวลามีใครตายขึ้นไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน เขาจะไม่นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่อง เทศเอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ (คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว แล้วก็เชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรงศพนั้น นำเอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา นำกระทงใบไม้ที่เตรียมไว้ รองรับน้ำเหลืองนั้น พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้

กินกันจนไม่มีน้ำเหลือง แล้วก็นำศพนี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไป

ที่มา : ไทยรัฐ






สาวสวยชาว ปาปัวนิวกินี

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 กันยายน 2554 เวลา 00:57

    น่ากลัวจังค่ะ

    ตอบลบ
  2. โอ๊ยยย ! ขอสัญญาว่าจะไม่ไปเที่ยวที่นั่นเลย อ็ายยยยยยย !! น่ากลัวที่สุด

    ตอบลบ
  3. ยังกินกันอยู่ไหมเนี้ย ทุกวันนี้

    ตอบลบ

อารายเหรอ