ปรากฏการณ์โลกแตก(WorldBoom) อำนาจพายุสุริยะ มหากาพย์ทำลายโลก
คราวนี้ช่างสรรหาได้นำเรื่องที่เป็นข่าวอึกทึกคึกโครมกันเมื่อ ก่อน เกี่ยวกับเรื่อง 2012 วันสิ้นโลกนึกถึงมหากาฬความน่าสพรึงกลัวว่า เจ้าัวันหายนะของโลกน่ากลัวอย่างยิ่ง เช่น ภูเขาไฟระเบิด นํ้าท่วมโลก ภูเขาหิมาลัยกลายเป็นที่ราบลุ่มช่างน่ากลัวอะำไรขนาดนี้ ดังนั้นช่างสรรหายังคงสงสัยต่อไปว่าเอ…. แล้วตกลงว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า มันมีทางที่จะเกิดขึ้นจริงไหม แล้ว อำนาจพายุสุริยะจะรุนแรงขนาดไหน มนุษยชาติจะต้องสูญสิ้นเหมือนกับไดโนเสาร์เมื่อหลายร้อยล้านปีหรือไม่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบเรื่องนี้กันนะครับ
ก่อนอื่นผมขออธิบายสักก่อนว่าเรื่องนี้มีการทำนายมานานแล้ว จากมนุษย์ที่คิดว่าตนเองแน่ ที่สา่มารถทำนายอนาคตที่จะดับสูญของโลกมานานแล้ว ถ้าหลายคนยังไม่รู้ผมจะขอระลึกชาติให้นะครับ
เรื่องนี้ต้องขอขอบคุณเว็บ coeclub ที่เอื้อเฟื้่อข้อมูลนะครับ
เริ่มแรกเมื่อ ค.ศ.33-150 ชาวคริสต์ยุคแรกกลุ้มใจว่าโลกจะแตกสลาย น่านถึงกลับกลัดกลุ้มใจเลยทีเดียว
ต่อมา ค.ศ.992-1000 พระชาวยุโรปคิดว่า โลกจะวินาศในปี ค.ศ.1000 ผู้คนจึงหวาดกลัวกันใหญ่ ถ้าเปรียบเทียบก็อีกราวๆ 850 ปีต่อมาอ่ะครับ
ค.ศ.1001 ปรากฏว่าโลกยังไม่แตก พระชาวฝรั่งเศสจึงบอกว่า ภัยพิบัติจะเลื่อนไปเกิดปี ค.ศ.1033 มีการเลื่อนวันโลกแตกอีกครับ
ค.ศ.1033 โลกยังหมุนต่อไป และยังคงหมุนต่อไปเรื่อยๆ และ ก็ยังไม่แตก
ค.ศ.1186 (พ.ศ.1729)เกิดดาวเคราะห์เรียงตัวกัน ชาวยุโรปนึกว่าโลกจะล่มสลาย อันนี้ค่อยมีเหตุผล แต่ก็ยังไม่แตก
ค. ศ.1346-1418 (พ.ศ.1889-1961) เกิดโรคกาฬโรคขึ้น ประชากร 1 ใน 3 ของยุโรปตาย และคร่าชีวิตประชากรครึ่งประเทศในอังกฤษ แต่มนุษย์โลกก็เพิ่มจํานวนกลับคืนมาตามเดิม มนุษย์นี่เก่งจังปั๊มประชากรได้อย่างรวดเร็ว
ค.ศ.1501 (พ.ศ.2044) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบรหัสไบเบิ้ล เรียกมันว่า”ไบเบิ้ลโค้ด” ได้ผลทํานายออกมาว่า โลกจะแตกใน ปีค.ศ.1656 (พ.ศ.2199) ว้าว…. เทพโลกจะแตกปี 2199 นี่ 2553 แล้วแตกหรือยังหว่า
ค.ศ.1656 (พ.ศ.2199) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทํานายผิด ก็จริงยังไม่แตกเลยนี่เนอะ
ค.ศ. 1844 วิลเลียม มิลเลอร์ บอกสาวก50,000 คนว่า โลกจะพินาศในปีนี้แล้ว แต่ก็ผิดหวัง ผิดหวังรอบที่เท่าไหร่แล้วน้อ…
ค.ศ.1848 วิลเลียมบอกว่า มันจะเลื่อนมาเกิดปีนี้ต่างหาก .. แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิลเลียมจึงบอกว่า มันเลื่อนไปเกิดปีหน้า ผัดคำทำนายไปปีหน้า
ค.ศ.1849 วิลเลียมไม่ได้รับความเชื่อถืออีกต่อไป ก็สมควร
ค.ศ.1910 ดาวหางฮัลเล่ห์ปรากฏ ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าจะเกิดวันสิ้นโลก ว้าว… เริ่มมีเหตุการณ์ประหลาดแล้ว
ค. ศ.1925 แม่ชี โรเบิร์ต ไรท์บอกว่า พระเจ้ามาบอกว่า โลกจะพินาศในปีนี้ เผอิญปีนั้น เกิดโรคระบาด แผ่นดินไหวถี่ผิดปกติ ภาวะบ้านเมืองอึมครึม คนเลยเชื่อใหญ่ บางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร บางคนขายบ้าน ขายที่นา พอถึงวันที่แม่ชีว่าจะเกิด แม่ชีไรท์พาลูกศิษย์หลบเข้าป่าจําศีลภาวนา แต่แล้วก็ผิดพลาดอีก.. พลาดได้อีก ไม่รู้ว่าจะแตกเมื่อไหร่
ค.ศ.1945 ชาร์ล ลอง นักฟิสิกส์อังกฤษ บอกว่า โลกจะพินาศ ซึ่งในระยะเดียวกันนั้น บังเอิญเกิดดาวหางบ่อยๆ เกิดสุริยคราสและจันทราคราส บ่อยๆ
น้ำท่วมเป็นประจํา แผ่นดินไหวถี่ผิดปกติ จึงเป็นเหตุผลที่ชาวโลกควรเชื่อ แต่ก็ผิดพลาดหนักเข้าไปอีก
ค.ศ.1975 กลุ่มชาวคริสต์ออกมาทํานายว่าปีนี้โลกจะพินาศ หลังจากทายผิดติดต่อกันมาแล้ว 10 ปี ผิดพลาดเพิ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย
ค. ศ.1996 ไมเคิล ดรอสนินท์และเอลิยา ริปป์ ตีความไบเบิ้ลโค้ด แล้วบอกว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3ในวันที่ 25 กรกฏาคม …แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไมเคิลและริปป์จึงบอกว่า สงครามโลกครั้งที่ 3และภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นแน่ แต่เลื่อนไปในปีค.ศ.1999 แต่เอนี่ปี 2010 แล้วเพิ่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เองนี่นา
ค.ศ.1999 นอสตราดามุส บอกว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3… นอกจากนอสตราดามุสแล้ว ยังมีไมเคิลกับริปป์ที่หน้าแหกเป็นเพื่อนอีกตั้งหาก เพื่อนช่วยเพื่อนดี อืม…
ค.ศ.2000 ดาวเคราะห์เรียงตัวกันในวันที่ 5 พฤษภาคม ผู้คนบนโลกเชื่อว่าโลกจะแตก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ค. ศ.2003 กลุ่มที่เชื่อเซคาริยาห์อ้างว่าดาวนิบิรุจะโคจรมาใกล้โลก ก่อเกิดภัยพิบัติ ที่ญี่ปุ่นมีกลุ่มคนพากันเข้าป่า เตรียมเสบียง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แห้วตามเคย
กันยายน 2005 – สิงหาคม 2006 กลุ่มไบเบิ้ลโค้ดเชื่อว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามที่คัมภีร์ทํานายว่าจะเกิดใน สิงหาคม 2006 แต่ก็ผิดอีก..
ค.ศ. 2009 เชื่อว่านิบิรุจะเฉี่ยวโลกในปี 2012 จะเกิดโน่นเกิดนี่ บลาๆๆๆๆ แล้วรอดูกัน นี่ปี 2010 อีก 2 ปีคงมีการทำนายเพิ่มขึ้น
อ้างอิงบางส่วนจาก หนังสือ The World and I
ผมลองรวมๆแล้วมีการทำนายผิดพลาดถึง 20 ครั้ง แล้วรอผลการทำนายในปี 2012 อีก 1 ครั้งไม่รู้ว่าผมนับถูกปล่าว
ทีนี้มาดูหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือการทำนายบางอย่างที่ปรากฏใเรื่อง 2012 วันสิ้นโลก ได้รับความอนุเคราะห์จากเว็บสมาคมดาราศาสตร์ไทย
1.ปฏิทินมายาทำนายว่า ปี ค.ศ. 2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลกจริงหรือ?
ปฏิทิน มายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ. 2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count)
ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่ วันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสต์กาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลกเชียวหรือ
คอมพิวเตอร์สมัยก่อนก็มีระบบปฏิทินในตัว เครื่องที่แสดงวันเดือนปีได้จนถึง สิ้น ค.ศ. 2000 อันเป็นที่รู้จักกันในนามของปัญหา Y2K แต่เมื่อสิ้นสุด ค.ศ. 2000 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบนับวันของคอมพิวเตอร์ ทำนองเดียวกัน โลกก็จะไม่แตกสลายเพราะว่าสูตรตัวเลขปฏิทินมายา หลังวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่ ว้าว…. เวรกรรม
2.Planet X คืออะไร?
เมื่อ ครั้งที่นักดาราศาสตร์รู้จักดาวเคราะห์แปดดวง ยังไม่พบดาวพลูโต นักดาราศาสตร์พบว่าการโคจรของดาวเนปจูนมีความผิดปรกติเหมือนมีแรงรบกวนจาก วัตถุขนาดใหญ่อีกดวงหนึ่งคอยดึงดูดรบกวนอยู่ วัตถุนี้อาจเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวงที่ยังมองไม่เห็น จึงมีความพยายามค้นหาดาวเคราะห์ลึกลับนี้โดยตั้งชื่อไว้ล่วงหน้าว่า ดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X)
แม้เวลาต่อมาจะมีการค้นพบดาวพลูโต ปัญหานี้ก็ยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากดาวพลูโตเล็กและเบาเกินกว่าจะมีผลต่อการโคจรของดาวเนปจูน การค้นหาจึงดำเนินต่อไป ต่อมา หลังจากที่มียานอวกาศไป สำรวจดาวยูเรนัสกับเนปจูนในระยะใกล้ จึงพบว่าความผิดปกติของวงโคจรดังที่เคยสำรวจจากโลกนั้นเป็นเพียงความผิดพลาด จากการวัด ไม่ใช่ความผิดปรกติของวงโคจรแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามการค้นหาวัตถุใหม่นอกวงโคจรดาวเนปจูนก็ยังมีอยู่ต่อไป และนักดาราศาสตร์ก็ได้ค้นพบวัตถุอีกหลายดวง แต่ทุกดวงล้วนเป็นวัตถุเล็กคล้ายดาวพลูโตมากกว่า
3.มีการค้นพบดาวเคราะห์เอกซ์แล้วหรือ ยัง?
นัก ดาราศาสตร์ได้พบค้นพบวัตถุดวงใหม่ที่อยู่นอกวงโคจรของดาวเนปจูนมาแล้วหลาย ดวง หลายครั้งที่มีการค้นพบวัตถุใหม่พ้นวงโคจรของดาวเนปจูนที่มีขนาดใหญ่ ก็มักเรียกกันให้ครึกโครมว่าเป็นดาวเคราะห์เอกซ์ แต่หลังจากการวิเคราะห์สมบัติด้านต่าง ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีดวงใดที่มีสมบัติเข้าข่ายดาวเคราะห์ จึงถือได้ว่าปัจจุบันยังไม่พบดาวเคราะห์เอกซ์
4.Planet X มีจริงหรือไม่?
แม้ปัจจุบันจะยังไม่การพบดาวเคราะห์เอกซ์ แต่นักดาราศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่าน่าจะมี หลักฐานหนึ่งที่ทำให้เชื่อเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องวงโคจรดาวเนปจูนที่ผิดปกติ (ซึ่งความจริงแล้วปกติ) แต่มาจากการกระจายตัวของวัตถุขนาดเล็กคล้าย ดาวเคราะห์น้อยที่กระจายอยู่นอก วงโคจรของดาวเนปจูนหรือที่เรียกกันว่าวัตถุพ้นดาวเนปจูน นักดาราศาสตร์พบว่าที่ระยะประมาณ 50 หน่วยดาราศาสตร์ จำนวนของวัตถุเหล่านี้ได้ลดลงอย่างกระทันหัน จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากอิทธิพลของวัตถุขนาดใหญ่โคจรอยู่นอกระยะนั้นออก ไป เป็นไปได้ว่าวัตถุดวงนี้อาจมีขนาดใหญ่พอที่จะจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ได้ นักดาราศาสตร์ได้คำนวณไว้ว่าดาวเคราะห์เอกซ์ดวงนี้น่าจะมีขนาดพอ ๆ กับโลกของเรา แล้วจะได้เป็นดาวฝาแฝดกับเราหรือเปล่าเอ่ย
5.Planet X เป็นดาวเคราะห์ล้างโลกจริงหรือ?
ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีวงโคจรของตัวเอง มีรัศมีวงโคจรต่างกัน วงโคจรมีเสถียรภาพดี ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชนกันได้ง่าย ๆ ตามความรู้และข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มีอยู่ เชื่อว่าหากมีการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ในระบบสุริยะจริง (ซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์เอกซ์) ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็น่าจะ อยู่พ้นวงโคจรของดาวเนปจูนออกไปอีก แล้วดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรใหญ่โตอยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนั้นจะมาชนโลกได้อย่าง ไร จงจำไว้ว่าดาวเคราะห์เอกซ์คือสิ่งที่นักดาราศาสตร์ถวิลหา และการค้นพบจะเป็นข่าวน่ายินดี หากวันหนึ่งคุณเห็นข่าวพาดหัวว่าค้นพบดาวเคราะห์เอกซ์แล้ว ก็อย่าไปแตกตื่นให้อายใครเขา ใช่แล้วครับเพราะแฟลนเน็ตเอ็กซ์มีมานาน ถ้าคุณไม่รู้ก็จะเชยเหมือนผมนะครับ
6.ดาวนิบิรุ มีจริงหรือไม่?
นิบิรุ เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งของบาบิโลน ซึ่งเดิมที่เป็นส่วนหนึ่งชาวชาวสุเมเรียนผู้รังสรรค์อารยธรรมต่างๆมากมาย ส่วน ดาวนิบิรุ เป็นดาวตามทฤษฎีของ เซชาเรีย ซิตชิน ซึ่ง อ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิรุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่ และเคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว ตอนไหนหว่า??? แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจากทฤษฎีนี้มีหลักฐานอ่อนมาก และตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล เรื่องนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์รวมถึงนัก วิชาการด้านสุเมเรียนด้วย
7.ดาวนิบิรุ กับ Planet X เป็นดวงเดียวกันหรือไม่?
บทความหรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับโลกแตกปี 2012 มักกล่าวว่า นิบิรุ และ ดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) เป็นวัตถุดวงเดียวกัน แต่ความจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ดาวเคราะห์เอกซ์เป็นดาวเคราะห์ที่ยังหาไม่พบ แต่เชื่อว่ามีจริง และมีการค้นหาอยู่ ส่วนดาวนิบิรุ เป็นดาวในตำนานที่ยังขาดหลักฐานที่ดีพอที่จะบอกได้ว่ามีอยู่จริง ซึ่งก็หมายความว่าทั้งสองเป็นจินตนาการทั้งหมด ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดว่าทั้งสองมีจริงนะครับ
8.พายุสุริยะคืออะไร?
พายุสุริยะคือ กระแสของอนุภาคพลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูง กว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอน (-) และโปรตอน(+) เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก
9.พายุสุริยะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร?
ปกติพายุสุริยะ จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับ อันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์ ในอดีต พายุสุริยะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วหลายครั้ง เช่น
ใน ค.ศ. 1859 พายุสุริยะทำให้สายโทรเลขลัดวงจรจนทำให้ เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและ อเมริกา ส่วนใน พ.ศ. 2532 พายุสุริยะก็เคยทำให้หม้อแปลงของไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งจังหวัด ควิเบกของแคนาดามาแล้ว นอกจากนี้ดาวเทียมและยานอวกาศที่อยู่ในอวกาศก็อาจเสียหายจากพายุสุริยะได้ ในอดีตเคยมีดาวเทียมหลายดวงเสียหายจากเหตุการณ์นี้มาแล้ว เนื่องจากปัจจุบันชีวิตประจำวันของผู้คนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอวกาศมาก ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ การกระจายเสียงวิทยุ ระบบบอกพิกัด ฯลฯ ดังนั้นหากมีพายุสุริยะมาทำให้ดาวเทียมเหล่านี้เสียหายไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแน่นอน
10.ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ?
จริง พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่าช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของ วัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ. 2013 ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะกินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้นแม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ. 2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะกระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 2012 แล้ว แม้ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ. 2000, 1989, และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี 2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ
11.สนามแม่เหล็กโลกสลับขั้วได้จริงหรือ?
มนุษย์ยุคปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครเห็นโลกสลับขั้วแม่เหล็ก แต่หลักฐานทางธรณีวิทยาบ่งชี้ว่าการสลับขั้วแม่เหล็กเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ครั้งตลอดประวัติศาสตร์ของโลก
12.สนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนกำลังลงจริงหรือ?
จริง นักวิทยาศาสตร์พบว่า นับจากคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกได้อ่อนกำลังลงไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะความเข้มสนามแม่เหล็กโลกผันแปรตลอดเวลาเป็นเรื่องปกติ ความจริงสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้ยังเข้มกว่าความเข้มเฉลี่ยของสนามแม่เหล็ก โลกในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า
13.ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ pole shift จริงหรือ?
pole shift คือการเลื่อนขั้วแกนหมุนของโลก ทำให้ขั้วเหนือและใต้ของโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป เกิดขึ้นจากการที่สัญฐานของโลกไม่กลมสมบูรณ์ ปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าเคยเกิดขึ้นจริงกับโลก รวมถึงดาวเคราะห์และดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์นี้ในปี 2012 และแม้จะเกิดก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเนื่องจากการเลื่อนนี้เกิดขึ้นในอัตรา ที่เชื่องช้ามาก pole shift ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องขั้วแม่เหล็กโลกเลื่อนตำแหน่ง ไม่เกี่ยวกับการเลื่อนของแผ่นทวีป และไม่เกี่ยวกับการส่ายของขั้วโลก
นับว่าเค้าโครงที่โลกกำลังเข้่าขั้นวิกฤตมีมากเลยครับ ดูโจมตีรอบด้านทั้งอิทธิพลจากลมพายุสุริยะ หรือ อาจจะเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ถวิลหาแพลนเน็ตเอกซ์ หรือ ดาวเคราะห์ในตำนานเนบิรุ ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นโลกจะแตกตอนไหนยังไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัด
ในทางวิทยาศาสตร์อุกกาบาตตกถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงและเคยเกิด ขึ้นมา แล้ว หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่บนผิวโลก (รวมถึงดวงจันทร์) ล้วนเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงการที่วัตถุขนาดใหญ่จากห้วงอวกาศเคยตกกระทบผิวดาว เคราะห์ตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการตกกระทบผิวโลกชองอุกกาบาตเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ส่งผลให้ไอน้ำและฝุ่นผงจำนวนมากลอยฟุ้งอยู่ในบรรยากาศปิดกั้นแสงสว่างจากดวง อาทิตย์ เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิลดลงทั่วโลกและเกิดการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ในที่สุด
ต่อมามาดูอุกกาบาตมหันตภัยจากนอกโลก
การจินตนาการถึงระเบิด 1 ล้านเมกกะตัน อาจจะเป็นเรื่องยาก ให้ลองนึกถึงอุกกาบาตขนาดเท่าบ้านหนึ่งหลัง ตกสู่ผิวโลกด้วยความเร็ว 30,000 เมตรต่อชั่วโมง มันจะมีพลังงานเทียบเท่ากับระเบิดที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิมา (ประมาณ 20 กิโลตัน) สามารถทำลายสิ่งก่อสร้างด้วยปูนคอนกรีตในรัศมีมากกว่าครึ่งไมล์ และโครงสร้างที่เป็นไม้ต่างๆ มากกว่าไมล์ครึ่งหรือเทียบได้กับเมืองใหญ่หนึ่งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง อนุภาพร้ายแรงถึงขนาดสามารถถล่มเมืองฮิโรชิมาให้จมดินได้เลยร้ายแรงจริงๆ
อุกกาบาตขนาดเท่าตึก 20 ชั้น (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 200 ฟุต) จะมีอานุภาพเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะสามารถสร้างได้ ในปัจจุบัน หรือขนาดประมาณ 20-25 เมกกะตัน ซึ่งสามารถทำลายสิ่งก่อสร้างด้วยปูนคอนกรีตในรัศมีมากกว่า 5 ไมล์ หรือถล่มเมืองใหญ่ๆ เกือบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาได้เลยทีเดียว
เมื่อใดก็ตามที่อุกกาบาตขนาดกว้างเป็นไมล์มาถึง ก็เสมือนเราจะต้องเผชิญกับระเบิดขนาด 1 ล้านเมกกะตัน ซึ่งมีอานุภาพ ร้ายแรงกว่าระเบิดที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิมาถึง 10 ล้านเท่า สามารถ ทำลายล้างทุกสิ่งสิ่งอย่างในรัศมี 100-200 ไมล์ อธิบายง่ายๆคือ หากอุกกาบาตนี้ตกที่นิวยอร์กแรงปะทะจะทำลายทุกอย่างตั้งแต่วอชิงตันดีชีถึง บอสตัน และทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในระยะ 1,000 ไมล์ ซึ่งไกลไปถึงชิคาโก ฝุ่นผงและเถ้าจำนวนมหาศาลจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปิดกั้นแสงอาทิตย์ไม่ให้ สาดส่องมาถึงผิวโลกเป็นสาเหตุให้ทุกชีวิตบนโลกต้องดับสูญ และถ้าหากอุกกาบาตนี้ตกลงในมหาสมุทร สิ่งที่จะเกิดขึ้นแทนคือ กลุ่มคลื่นน้ำขนาดยักษ์สูงร่วมร้อยฟุตที่จะเคลื่อนเข้าปะทะแนวชายฝั่งที่ อยู่ใกล้เคียงแล้วกวาดล้างทุกสิ่งลงสู่ทะเล
หากว่าเหตุการณ์อุกกาบาตชนโลกเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าต้องเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายถึงที่สุด ไม่ว่าอุกกาบาตนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม และสำหรับอุกกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ไมล์ ที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้แล้ว…..จงช่วยกันภาวนาอย่าให้ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้นี้เลย!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อารายเหรอ