วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ไปพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ

ไปพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ


“พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัว” ตั้งอยู่บริเวณอาคารที่แต่เดิมเป็น “กรม โยธาธิการ” ตรงถนนหลานหลวง ติดกับที่สำนักงานการบินไทย ตึกโบราณตรงหัวมุมถนนพอดิบพอดี เมื่อก่อนเขาใช้เป็นสำนักงานของกรมโยธาฯ แต่ต่อมาด้วยความทรุดโทรมจึงได้ย้ายสำนักงานออกไปและทำการปรับปรุงซ่อมแซม และดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์โดย “สถาบันพระปกเกล้า” และเปิดให้เข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕


รูปแบบอาคารเป็นสไตล์ยุโรปโดดเด่น เป็นสง่า

เปิด ประตูเข้าไปด้านใน (ต้องผลักแรงๆ เขาติดใบบอกว่าให้ผลักแรงๆ ก็จริงดังว่า ประตูเป็นแบบเก่าทำด้วยไม้อย่างหนาเชียว เนื้อไม้เป็นมันแสดงว่าใช้งานมานาน) สิ่งแรกที่เป็นเป็นบันไดขนาดใหย่ปูด้วยพรมสีแดงสด ด้านบนเป็นพระบรมาสาทิสลักษณ์ (ภาพเขียน) ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขนาดใหญ่ ท่านที่เพิ่งไปครั้งแรกแนะนำให้เริ่มเดินเข้าทางด้านซ้ายมือก่อน เพราะเขาจัดแสดงไล่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ (ข้าพเจ้าดันหันขวาซะ เลยเริ่มเอาตอนท้ายย้อนขึ้นมา) ชั้นแรกเป็นพื้นที่จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของ สมเด็จ พระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เริ่มแสดงตั้งแต่ทรงประสูติไปจนถึงเมื่อขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีในพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ และทรงพอเพียง แม้จะดำรงพระอิสริยยศเป็นถึงพระราชินี ก็ยังทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่กันดารแห่งหนึ่ง เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชน ทรงทำมีดบาดพระองค์ บรรดาพยาบาลก็วิ่งหาปลาสเตอร์ปิดแผลกันให้วุ่นอยู่นานกว่าจะได้มาถวายสัก ๑ แผ่น พระองค์จึงสะท้อนพระทัยว่าถ้าเป็นชาวบ้านเขาจะทำอย่างไรหากเกิดเจ็บไข้ จึงมีพระราชดำริให้จัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นในท้องถิ่นทุรกันดารเรื่อยมา


ภาพนี้เราชาวไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่าง ดี

ทาง พิพิธภัณฑ์เขาจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และรูปภาพเก่าๆ อีกทั้งยังมีสื่อมัลติมีเดียน่าสนใจให้ชม มีบทสัมภาษณ์ผู้ที่เคยถวายงานใกล้ชิดพระองค์ ฟังแล้วก็น่าชื่นใจที่เจ้านายของเราทรงรักและห่วงใยประชาชนมากขนาดไหน ทรงพอเพียง ใช้เท่าที่มี ไม่ทรงขวนขวายสิ่งใดจนเกินพระองค์ทั้งที่ทรงทำได้ อยากให้พวกผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองนี้สำนึกและดูพระองค์เป็นแบบอย่างเสียบ้าง

เดิน ขึ้นไปยังชั้นสองเป็นส่วนจัดแสดงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ข้าพเจ้าเองตั้งแต่เล็กมักจะไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์มากนัก นอกจากการพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกและการทรงมอบอำนาจ อธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย พระราชกรณียกิจนอกเหนือจากนั้นก็แทบจะไม่เคยรับทราบ เชื่อว่าหลายท่านคงจะเป็นอย่างข้าพเจ้า แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานเพื่อประชาชนอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดเหนื่อยพระองค์หนึ่ง แม้ช่วงเวลาในรัชกาลของพระองค์จะไม่นานนักก็ตาม

ที่ ชั้นสองนี้แสดงพระราชประวัติก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทั้งการศึกษา เมื่อครั้งทรงผนวช พระจริยวัตร พระราชนิยมทางด้านต่างๆ ตรงนี้เองที่ข้าพเจ้าได้ความรู้เพิ่มเติมหลายอย่าง อย่างเช่นได้ทราบว่าพระองค์ท่านเป็นนักดนตรีที่มีฝีมือทีเดียว และพระองค์ยังทรงเรียนที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส (French Military Staff College) รุ่นเดียวกับ ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) ประธานาธิบดีคนดังของฝรั่งเศสอีกด้วย นอกจากนี้ยังทรงโปรดเรื่องของภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง ที่นี่เขามีจัดฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ที่ทรงถ่ายด้วยพระองค์เองด้วย


ทรงซออู้ผ่อนคลายพระอิริยาบถ

เลย ขึ้นไปที่ชั้นสามจัดแสดงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฉลองพระองค์ พระมาลา ฉลองพระบาท และเครื่องใช้ส่วนพระองค์อื่นๆ นอกจากนี้ยังจัดแสดงพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งหลายประการในรัชสมัยของ พระองค์ ที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะขัดเคืองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ภัยคุกคามจากต่างประเทศ และเรื่องของการบ้านการเมือง

อยาก ให้ทุกท่านลองไปเยี่ยมชมกันครับ ลองแอบอ่านความเห็นของหลายๆ ท่านในสมุดลงนามเยี่ยมชมแล้ว มีแต่คนชื่นชมที่จัดทำได้อย่างสมพระเกียรติ ที่สำคัญที่นี่เขาอนุญาตให้ถ่ายภาพได้ด้วยเพียงแต่งดใช้แฟลชและขาตั้ง เสียค่าเข้าชมเพียงท่านละ ๒๐ บาทเท่านั้น ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์เข้าชมฟรี วันจันทร์ปิดทำการ ๑ วัน ลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ สถาบันพระปกเกล้าได้ที่ www.kpi.ac.th


บริเวณทางเข้ามีพระบรมสาทิสลักษณ์ ขนาดใหญ่ตั้งไว้
ตรงนี้ขอให้เลี้ยวขวาไปชมส่วนของพื้นที่จัดแสดง ซ้ายมือนั่นจะไปห้องฉายภาพยนตร์


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระสหายร่วมรุ่น
เมื่อครั้งเรียนที่โรงเรียนเสนาธิการทหารฝรั่งเศส
พระองค์ประทับด้านหน้าส่วนด้านหลังนั่นคือประธานาธิบดีชาร์ลส์ เดอ โกลล์


ศาลาเฉลิมกรุงจำลอง จัดแสดงพระราชกรณียกิจด้านการภาพยนตร์
โดยเฉพาะ ศาลาเฉลิมกรุง ที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
เมื่อครั้งฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๑๕๐ ปี


ภาพนี้อยู่ที่ห้องจัดแสดงห้องสุดท้าย ไม่ปรากฏว่าถ่ายไว้ที่ใด
แม้จะไม่มีคำบรรยาย แต่เป็นภาพที่ข้าพเจ้าประทับใจที่สุด


ภาพนี้เป็นภาพอัญเชิญพระบรมอัฐิลงจาก เรือหลวงเมื่อครั้งที่สมเด็พระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ
เสด็จกลับประเทศไทย บรรยายไว้ว่าพระองค์ตั้งใจจะเสด็จกลับประเทศไทย
เนื่องด้วยหากประทับที่ประเทศอังกฤษจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก แต่ก็จะเสด็จกลับต่อเมื่อ
รัฐบาลไทยกราบบังคมทูลเชิญเสด็จอย่างเป็นทางการและให้จัดพิธีอัญเชิญพระ บรมอัฐิ
อย่างสมพระเกียรติเท่านั้น มิเช่นนั้นพระองค์จะยอมประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษต่อไป


องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ บริเวณภายนอกอาคาร
ตรงหมุดรัดท่อระบายน้ำภายนอกอาคารทำเป็นรูปดอกไม้
ทั้งสวยงามและเข้ากันกับตัวอาคารเป็นอย่างดี อันนี้หาดูยากแล้วนะลองไปสังเกตดู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ