วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

SAAB 340 AEW C ดวงตาบนท้องฟ้าของกองทัพอากาศไทย

SAAB 340 AEW C ดวงตาบนท้องฟ้าของกองทัพอากาศไทย

เครื่อง บินควบคุมและแจ้งเตือนอากาศยานที่เป็นภัยคุกคามแบบแรกของกองทัพอากาศไทย เรดาร์ลอยฟ้าที่ทำให้ไทยกลายเป็นอันดับที่สองในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนต่อ จากกองทัพอากาศสิงคโปร์ และเป็น1ใน22ประเทศทั่วโลกที่มีเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนภัยใช้งาน...

เครื่อง บินควบคุมและแจ้งเตือน มีชื่อเรียกว่า AWACและAEW&C มีประวัติความเป็นมาย้อนกลับไปในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศเยอรมันที่เปิดฉากการบุกยุโรปใช้เครื่องบินแบบFocke-Wulf Fw189 UHUติดตั้งระบบเสาอากาศตรวจจับซึ่งเรดาร์ที่ทำการติดตั้งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ล่าสุดในยุคนั้นและออกทำการบินในเวลากลางคืนเพื่อสกัดกั้นและแจ้งเตือนไปยัง หน่วยป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพเยอรมันเมื่อตรวจพบเครื่องบินของข้าศึกที่ บินเข้ามาในน่านฟ้า รวมถึงเครื่องบินแบบFieseler Fi 156 Storchที่ทำหน้าที่ตรวจการและแจ้งเตือนกองกำลังทางภาคพื้นดินของฝ่ายพันธ์ มิตรให้กับผู้บัญชาการรบของกองทัพเยอรมันได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ในปี1942 โซเวียตได้ทำการทดลองติดตั้งสถานีเรดาร์ที่มีชื่อเรียกว่าGneis2ในเครื่อง บินทิ้งระเบิดพิสัยบินปานกลางแบบPE2 ส่วนสหรัฐอเมริกาทำการทดสอบเรดาร์AN/AS P20เข้ากับเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบAvengerการทดลองของทั้งสามชาติในมหา สงครามโลกครั้งที่สองประสบความสำเร็จโดยสามารถตรวจจับกลุ่มเครื่องบินที่ทำ การบินอยู่บนท้องฟ้าได้ไกลถึง100ไมล์

Focke-Wulf Fw189 UHU

Fieseler Fi 156 Storch


เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงและเข้าสู่ ยุคสงครามเย็นของชาติมหาอำนาจ ทั้งพวกอเมริกันและรัสเซียต่างแข่งกันพัฒนาอาวุธภายในกองทัพของตนเป็นการ ใหญ่ ทำให้เทคโนโลยีของเครื่องบินควบคุมและตรวจการทางอากาศพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามมาด้วยการออกแบบและดัดแปลงอากาศยานของพลเรือนมาใช้ในกองทัพโดยทำการ ติดตั้งเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเครื่องบินE-3 Sentryของกองทัพอากาศอเมริกัน หรือเครื่องบินBoeing 707ติดตั้งระบบเรดาร์แจ้งเตือนรุ่นAN/APY-1/2 ส่วนกองทัพอากาศออสเตรเลียใช้เครื่องBoeing737-MESA โดยทำการติดตั้งเรดาร์รุ่นก้าวหน้าของบริษัทNorthrop Grumman ส่วนฝั่งคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซียและจีนในขณะนั้นก็มีเครื่องบินลำเลียงทาง ทหารแบบA50 Mainstayที่ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกลมาประจำการในเส้นแนวเขตแดนของตนเพื่อ ตรวจจับเครื่องบินสอดแนมของพวกอเมริกัน

Boeing E-3 Sentry

Boeing 707 AN/APY-1/2

A50 Mainstay


Airborne Warning And Control Systemหรือเรียกสั้นๆว่าAWACเป็นคำใช้เรียกอากาศยานที่ปฏิบัติการควบคุมและ ตรวจตราทางอากาศ ซึ่งมีหน้าที่ทั้งการแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบเครื่องบินขับไล่หรือเครื่องบิน ทิ้งระเบิดของฝ่ายข้าศึกที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงและกำลังบินเข้ามายังน่าน ฟ้า ควบคุมและแจ้งตำแหน่งของข้าศึกทางภาคพื้นดินในสนามรบให้กับผู้บัญชาการที่มี อำนาจวางแผนและสั่งการ เครื่องบินแบบAWACจะมีลำตัวกว้างซึ่งภายในมีอุปกรณ์ตรวจจับแบบเรดาร์หรือ ระบบค้นหาด้วยอินฟาเรดและทำการบินตรวจการเพื่อเฝ้ามองความเคลื่อนไหวต่างๆ ของฝ่ายศัตรู ระบบเรดาร์ดังกล่าวมีรัศมีทำการไกลนับร้อยๆไมล์เพื่อทำการวิเคราะห์ หรือส่งข้อมูลเป้าหมายที่ตรวจพบไปยังเครื่องบินขับไล่เพื่อเข้าต่อตี ในการรบภาคพื้นดิน เครื่องบินแบบAWACยังสามารถใช้เรดาร์ที่มีระยะทำการไกลกว่าเครื่องบินขับไล่ ทั่วไปเพื่อการมองเห็นได้ในทุกพิกัดและส่งข้อมูลที่สำคัญไปยังผู้บังคับ บัญชาเพื่อการตัดสินใจในการปฏิบัติการรบได้อย่างถูกต้องและง่ายดายขึ้น สงครามทางอากาศที่เด่นชัดที่สุดคือปฎิบัติการพายุทะเลทรายของกองกำลัง อเมริกันและพันธมิตรที่บุกโจมตีประเทศอิรัก(Operation Desert Storm)โดยฝ่ายอเมริกันใช้เครื่องบินตรวจการบนอากาศแบบBoeing E-3 Sentryซึ่งรับหน้าที่ควบคุมกองกำลังทางอากาศทั้งหมดในระหว่างการเข้าโจมตี ทิ้งระเบิด และตรวจตราน่านฟ้าทั่วทั้งกรุงแบกแดด จนทำให้กองกำลังฝ่ายพันธมิตรสามารถครองความเป็นเจ้าเวหาและทำลายเครื่องบิน รบของอิรักไปถึง38ลำเลยทีเดียว ข้อเสียของเครื่องบินAWACเนื่องจากเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายในระหว่างปฏิบัติการสูง จึงทำให้เกิดการออกแบบเครื่องAirborne Warning And Control Systemที่มีขนาดกระทัดรัดซึ่งมีประสิทธิภาพด้อยกว่าเครื่อง AWAC ในบางจุดเนื่องจากขนาดที่เล็กกว่าของระบบเรดาร์ตรวจจับ แต่ยังสามารถควบคุมและปฎิบัติการในระหว่างทำการรบได้อย่างสะดวกจึงทำให้กอง ทัพอากาศของบราซิล สิงคโปร์และกรีซมีเครื่องบินชนิดนี้อยู่ในประจำการ

Ericsson Active Electronically Scanned Array


ประเทศในกลุ่มสนธิสัญญานา โต้มีการพัฒนาอากาศยานตรวจจับฝ่ายตรงข้ามเหมือนกันหลังจากยุคสงครามเย็นใกล้ จะสิ้นสุดลง การพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นในยุค1980โดยบริษัทโทรคมนาคมอย่างEricsson Microwave Systemได้ทำการคิดค้นระบบเรดาร์แบบใหม่AESA (Active Electronically Scanned Array)เพื่อนำมาติดตั้งในเครื่องบินตรวจการขนาดกลางหรือAirborne Warning And Control Systemรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีลำตัวกระทัดรัดกว่าเครื่องAWACลำโตอย่างBoeing 707-737 เรดาร์แบบใหม่นี้มีความแตกต่างจากระบบเรดาร์ทั่วไปที่ตัวมันเองไม่จำเป็น ต้องหมุนเพื่อส่งสัญญาณเรดาร์ออกไปรอบทิศทางแต่อย่างใด แต่ด้วยการใช้เสาอากาศขนาดเล็กนับพันต้นที่ยึดตัวอยู่ภายในกระเปาะเรดาร์ แล้ววางเสาดังกล่าวไว้ครบ360องศา ทำให้ทิศทางในการรับ-ส่งคลื่นเรดาร์ครอบคลุมการตรวจจับได้รอบทิศทาง มันใช้ความถี่สูงกว่าระบบเรดาร์แบบจานหมุนทำให้มีพิสัยการปฏิบัติการไกลกว่า เรดาร์แบบปกติ ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่าและสามารถตรวจจับเป้าหมายได้มากกว่า ระบบเรดาร์แบบActive Electronically Scanned Arrayนี้ยังมีใช้งานในเรือพิฆาตยุคใหม่ เรือเร็วโจมตีติดขีปนาวุทธรวมถึงเครื่องบินขับไล่-โจมตีความเร็วเหนือเสียง ซึ่งบริษัทEricssonเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกที่นำเอาระบบเรดาร์ขนาดกระทัดรัดมาติด ตั้งบนเครื่องบินแจ้งเตือนแบบAEW&C

Saab 340A

Saab 2000 And Saab 340A


ในช่วงทศวรรษที่80บริษัทผลิตอากาศยานของ สวีเดนSaabได้ร่วมมือกับบริษัทFairchild Aircraftของสหรัฐอเมริกาทำการพัฒนาเครื่องบินโดยสารขนาดกลางแบบใหม่เพื่อ เข้ามาแทนที่เครื่องบินโดยสารแบบเก่าที่มีเพียง30-36ที่นั่ง สามารถบินเดินทางภายในภูมิภาคด้วยความเร็วประมาณ4-500กิโลเมตรต่อชั่วโมง บริษัทอเมริกันรับหน้าที่ออกแบบและสร้างแพนหางระดับ ปีกและชิ้นส่วนที่ใช้ภายในเครื่องยนต์แบบเทอร์โบพร็อพ ส่วนบริษัทSaabสร้างลำตัวที่ทำจากอลูมินัมอัลลอย แพนหางดิ่งและการประกอบในขั้นตอนสุดท้าย หลังจากบริษัทFairchild Aircraftเลิกล้มกิจการไปแล้วการผลิตทั้งหมดจึงย้ายไลน์มาที่โรงงานของSaabใน เมืองLinkopingประเทศสวีเดน เครื่องบินSaab 340รุ่นแรกใช้รหัสAขึ้นทำการบินทดสอบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่25มกราคม 1983และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นSaab 340BและSaab 340B+โดยเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้มีแรงขับที่สูงมากขึ้น ติดตั้งระบบลดเสียงของเครื่องยนต์และลดการสั่นสะเทือนทำให้ห้องโดยสารมีความ เงียบและมีเสียงรบกวนในขณะทำการบินเพียง10เดซิเบล เครื่องบินโดยสารแบบSaab 340ถูกนำเข้าประจำฝูงบินในสายการบินต่างๆถึง61สายการบินในกว่า30ประเทศทั่ว โลก มีชั่วโมงบินรวมแล้วมากกว่า13ล้านชั่วโมงบิน Saab 340ผลิตขึ้นทั้งหมด459ลำ ปัจจุบันยังคงทำการบินใช้งานอยู่ถึง416ลำ ประสบอุบัติเหตุตก9ลำและปิดสายการผลิตไปในปีคศ1999แต่บริษัทSaabยังคงผลิต อะไหล่ใหม่ทุกชิ้นส่วนของตัวเครื่องเพื่อป้อนให้กับเครื่อง340A-340B-340B+ ทั้ง416ลำที่ยังคงขึ้นบินตามปกติ

Saab 2000 And Gripen

Saab 2000

ต่อมาในปี1994Saabได้ทำการปรับปรุงเครื่องบินรุ่น340ครั้งให ณ่และพัฒนาไปสู่การสร้างเครื่องSaab 2000แต่จากการแข่งขันทางการตลาดอย่างรุนแรงของบริษัทฝรั่งเศสที่ผลิตเครื่อง บินโดยสารขนาดกลางเครื่องยนต์เทอร์โบพร๊อพรุ่นATRและบริษัทจากแคนาดา อย่างBombardierรวมถึงไม่อาจต่อกรกับเครื่องบินโดยสารขนาดกลางที่ใช้เครื่อง ยนต์เทอร์โบแฟนอย่างEmbraerของบราซิลและบริษัทสร้างเครื่องบินชั้นเยี่ยม ราคาแพงอย่างDassaultทำให้บริษัทSaabผลิตเครื่องบินรุ่นSaab 2000เพียง64ลำในระหว่างปี1999-2005กองทัพอากาศสวีเดนมองเห็นคุณประโยชน์ของ เครื่องบินรุ่นนี้จึงนำเข้าประจำการพร้อมกันนั้นได้ทำการติดตั้งระบบเรดาร์ Erieyeให้กับเครื่องบินSaab 340B+จำนวนสี่ลำหนึ่งฝูงบิน เครื่องบินลำแรกที่ได้รับการติดตั้งระบบเรดาร์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่าS-100B Argusหรือใช้ชื่อทางการค้าว่า Saab 340AEW&C การพัฒนาระบบเรดาร์และระบบควบคุมอย่างต่อเนื่องของพวกสวีเดนทำให้เครื่อง รุ่นAEW 300ถือกำเนิดขึ้นในปี2000 มีการเพิ่มสถานีควบคุมบนตัวเครื่องบินอีกถึงสามสถานีและใช้เจ้าหน้าที่ สามนายโดยไม่จำเป็นต้องมีสถานีรับข้อมูลหรือเจ้าหน้าที่ทางภาคพื้นดินแต่ อย่างใด การพัฒนาได้ก่อให้เกิดระบบสื่อสารดิจิตอลอันทันสมัยชื่อLink16และTIDLS หรือTactcal Information Data Link Systemเพื่อทำการสื่อสารโดยตรงกับเครื่องบินรบของนาโต้ทั้งหมด โดยกองทัพอากาศสวีเดนได้ทำการปรับปรุงSaab 340 AEW&Cทั้งสี่ลำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับรุ่นAEW 300และกำหนดรหัสนามเรียกขานทางทหารว่า S100D เครื่องบินตรวจการและแจ้งเตือนSaab 340 AEW&Cมีรัศมีของการตรวจการไกลถึง300ไมล์ทะเลในสภาวะปกติและ200ไมล์ทะเล ในสภาวะสงครามที่มีการรบกวนสัญญาณทางอิเล็กทรอนิคทุกรูปแบบ มันสามารถติดตามเป้าหมายทั้งเครื่องบินรบ เรือรบ และกองกำลังบนภาคพื้นดินได้กว่า3000เป้าหมาย พร้อมกันนั้นยังทำการแจ้งเตือนเป้าหมายที่เป็นภัยคุกคามสูงสุดกับแยกแยะเป้า หมายที่เป็นฝ่ายเดียวกันเพื่อป้องกันการโจมตีพวกเดียวกันเองอีกด้วย สามารถล็อกเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งในขณะที่เป้าหมายอื่นๆถูกตรวจจับอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีระบบป้องกันตัวเองจากการโจมตีทางอีเล็คโทรนิคและข้อดีอีกข้อ หนึ่งคือ มันมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการบินปฏิบัติการที่ต่ำกว่าเครื่องบินแจ้งเตือนแบบ อื่นๆอีกด้วย

Saab S100D


เครื่องบินแจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศของสวีเดนได้รับการ สั่งซื้อจากนานาประเทศเนื่องจากมีราคาไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับ เทคโนโลยีที่ใช้และมีประสิทธิภาพสูง ในปัจจุบันนี้มีกองทัพอากาศสี่ประเทศที่มีเครื่องบินรุ่นนี้ไว้ใช้ทำการบิน ตรวจการคือ ทอ.กรีซ4ลำ ทอ.เม็กซิโก1ลำ(ใช้เครื่องรุ่นR99)และ ทอ.ปากีสถานสั่งซื้อเครื่องรุ่นS1000Horizonหรือเครื่องSaabรุ่น2000ติดตั้ง ระบบเรดาร์Erieye กองทัพอากาศโคลัมเบียเองยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับSaabในการจัดหาเครื่อง Saab 340 AEW&Cจำนวน2เครื่องเพื่อส่งเข้าประจำการในภารกิจบินลาดตะเวนค้นหาที่ ตั้งของพวกค้ายาเสพติดในภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยป่าและภูเขาสูง

F16C/D

SU-30MK-IT

Gripen 39C/D Royal Thai Air Force


ในปี2004 กองทัพอากาศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดหาเครื่องบินรบสมรรถนะสูง มาแทนที่เครื่องบินขับไล่แบบF5A,F5B,และF5Eที่มีอายุประจำการยาวนาน มากกว่า30ปีแล้ว โดยมีอากาศยานรบแบบต่างๆเช่น F16C/DของบริษัทLockheed Martinจากสหรัฐอเมริกา SU-30MK-ITของบริษัทSukhoiจากรัสเซีย(ทั้งใหญ่ทั้งแพงแบบไร้สาระ)และเครื่อง บินรบขนาดกระทัดรัดที่มีความคล่องตัวสูงที่ผลิตโดยบริษัทSaabจากสวีเดนนั่น ก็คือJAS-39 Gripen C/D โดยโครงการทั้งหมดได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการทดสอบ เปรียบเทียบความคุ้มค่าและสมรรถนะรวมถึงความเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศของไทย ที่มีทั้งป่าเขาและชายทะเลทั้งสองฟากฝั่ง(อ่าวไทยและอันดามัน)ที่ ยาวกว่า1500กิโลเมตร หลังจากเจรจากันอยู่หลายครั้งกับบริษัทผู้ผลิตในแต่ละประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติอนุมัติให้กองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินรบแบบGripen C/D จากประเทศสวีเดนจำนวน12ลำเนื่องจากมันมีสมรรถนะที่เหมาะสมตรงกับความต้องการ และข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดในบรรดาข้อเสนอของทั้งสามบริษัท นั่นก็คือการให้เปล่าเครื่องบินควบคุมและตรวจการแบบSaab 340 AEW&CจำนวนสองลำและSaab 340อีกหนึ่งลำสำหรับทำการฝึกบินให้กับนักบินใหม่ของกองทัพอากาศไทย นอกจากนี้ยังเสนออาวุธจรวดนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำรุ่นล่าสุดRBS-15F สถานีควบคุมภาคพื้นดิน ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนนายเรืออากาศอีก92ทุนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ด้านการบินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ของกองทัพไทย

Thai Fighter Pilot First Flight In JAS-39 Gripen

Saab 340 AEW&C Royal Thai Air Force

Saab 340 AEW&Cของกองทัพอากาศไทยเป็นเครื่องบินมือสองที่เคยเข้าประจำการในกองทัพ อากาศสวีเดน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเครื่องบินที่ถูกใช้งานมาแล้วแต่ก็ได้รับการดูแลเป็น อย่างดีตามมาตรฐานของระบบนิรภัยการบิน หลังจากทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอะไหล่ใหม่บางชิ้นส่วนจะทำให้มันมีอายุ ประจำการไปอีกอย่างน้อย30ปี นอกเหนือจากนั้นกองทัพอากาศไทยจะทำการปรับปรุงระบบการส่งข้อมูลระหว่าง เครื่องSaab 340 AEW&Cไปยังเครื่องบินรบแบบF16และเครื่องJAS-39 Gripen CDแล้วยังทำการผนวกเอาระบบทั้งหมดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันภัยทาง อากาศของกองทัพไทยหรือRTADS (Royal Thai Air Defense System) บริษัทSaabแห่งราชอาณาจักรสวีเดนผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ JAS-39 Gripen C/D ให้กับกองทัพอากาศไทยได้นำเครื่องบินขับไล่แบบJAS-39 Gripen D (2ที่นั่ง) ของกองทัพอากาศขึ้นทำการบินทดสอบเที่ยวแรก (First Flight) เหนือน่านฟ้าสวีเดนเมื่อวันพุธที่16กันยายน2552 เวลา 14.50น ตามเวลาท้องถิ่นโดยใช้เวลาทำการบินทดสอบนาน80นาที สำหรับเครื่องบินขับไล่JAS-39Gripen C/Dจะเริ่มเข้าประจำการในฝูงบิน701กองบิน7จังหวัดสุราษฎร์ธานีในราวต้น ปี2554นี้ ส่วนเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนSaab 340 AEW&C ลำแรกจะเดินทางมาถึงประเทศไทยก่อนในวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ราวหนึ่งเดือนต่อจากนั้นเครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียงSaab JAS-39 Gripen C/Dทั้ง12ลำที่กองทัพอากาศไทยสั่งซื้อจะทยอยส่งมอบตามมาในภายหลัง และนับจากนี้ไปประเทศไทยของเราจะมีเครื่องบินรบที่ทันสมัยที่สุดภายใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เทียบเท่ากองทัพอากาศของสิงคโปร์ซึ่งเป็น เขี้ยวเล็บที่แหลมคมเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีรุ่นล่าสุด ซึ่งทำให้ฝ่ายศัตรูต้องประเมินกันอย่างหนักทีเดียวหากคิดจะเปิดฉากการโจมตี หรือบุกรุกเข้ามายังน่านฟ้าของเรา.

Saab 340 AEW&C Specifications


ประเทศผู้ ผลิต.................................สวีเดน
ผลิต โดย........................................บริษัทSaab-Scania Aktiebolag, Aerospace Division
ประเภท.......................................... เครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนภัยทางอากาศ
ความยาว ปีก...................................21.44 เมตร
ความยาวลำ ตัว................................19.73 เมตร
ความ สูง.........................................6.97 เมตร
น้ำหนัก..........................................13155 กิโลกรัม
เครื่องยนต์......................................2X GE General Electric CT7 - 9B 1870แรงม้า
ระบบใบ พัด.....................................Dowty Rotol/Hamilton Sundstrand
ความ เร็วสูงสุด.................................550กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความ เร็วเดินทาง..............................160น็อต/ชั่วโมง
น้ำหนัก บรรทุกสูงสุด.........................2580 กิโลกรัม
ระยะเวลาในการบิน ปฏิบัติการ..........5-7ชั่วโมง
น้ำหนักบินขึ้นสูง สุด...........................12,927 กิโลกรัม (28,500 ปอนด์)
ปริมาตร ความจุเชื้อเพลิง...................2580 กิโลกรัม
รัศมีบิน ไกล.......................................1310 ไมล์ทะเล
เพดานบินปฎิ บัติการ.........................7620 เมตร
ระยะทางวิ่งขึ้น(Take- Off).................1290 เมตร
ระยะทางร่อน ลง(Landing)................1035 เมตร
ลูก เรือ...............................................นักบิน2นาย พลประจำสถานีเรดาร์บนเครื่อง3นาย
ระบบเรดาร์ปฎิบัต ิการ......................Erieye/ Ericsson Active Electronically Scanned Array
รัศมีทำการของเรดาร์.......................450กิโลเมตรในทุกทิศ ทาง

เอกสารอ้างอิงประกอบการเขียน
-The Aerospace Magazine Jan-Feb 2009
-โรงเรียนเสนาธิการทหารบก


ที่มา : www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ