วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความต่าง “ห่วง” กับ “หวง”

ความต่าง “ห่วง” กับ “หวง”

“หวง” คือ การทำให้ตัวคุณเองมีความสุข
“ห่วง” คือ การทำให้คนที่คุณรักมีความสุข

“หวง” คือ การผูกมัดคนที่คุณรักไว้ด้วยกาย
“ห่วง” คือ การผูกมัดคนที่คุณรักไว้ด้วยใจ

“หวง” คือ การเห็นแก่ตัว
“ห่วง” คือ การเสียสละ

“หวง” คือ การที่คุณให้เขาทำอะไรในกรอบของคุณ
“ห่วง” คือ การที่คุณให้เขาทำอะไรในกรอบของเขา

“หวง” คือ ประโยคคำสั่ง
“ห่วง” คือ ประโยคขอร้อง

“หวง” คือ คุณรักเขาและต้องการให้เขารักคุณ
“ห่วง” คือ คุณรักเขาแต่ไม่ต้องการให้เขารักคุณ

“หวง” คือ สิ่งที่คุณทำแล้วเกิดความทุกข์ใจ
“ห่วง” คือ สิ่งที่คุณทำแล้วเกิดความสุขใจ

“หวง” คือ การทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อให้เขาต้องอยู่กับคุณ
“ห่วง” คือ การทำสิ่งมีสาระที่ไม่ต้องการให้เขาอยู่กับคุณ

“หวง” คือ การออกไปเต้นแร้งเต้นกา
“ห่วง” คือ การอยู่เฉย ๆ นั่งมองเพียงเงียบ ๆ

“หวง” คือ การบังคับขู่เข็ญโดยเขาไม่เต็มใจ
“ห่วง” คือ การปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาพอใจ

“หวง” คือ ความรักที่จอมปลอม
“ห่วง” คือ ความรักแท้จริง

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/2249.html

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คลิปแม่สุดสวยให้นมลูกที่มีคนดูกว่าครึ่งล้านทาง youtube



คลิปแม่สุดสวยให้นมลูก


ที่มีคนดูกว่าครึ่งล้านทาง youtube













คนกว่าครึ่งล้านแห่ชมคุณแม่สุดสวยชาวไต้หวันวัย 22 ปี โพสต์วีดีโอให้นมลูกผ่านเว็บไซต์ชื่อดัง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วีดีโอและภาพสาวสวยชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นคุณแม่วัย 22 ปี ให้นมลูกชายตัวเองจากเต้ากำลังเป็นแพร่หลายอย่างกว้างขวางทางอินเตอร์เน็ต เพราะความสวยของเธอ โดยคุณแม่ยังสาวซึ่งหน้าตาสวยพอที่จะเป็นดาราหนังได้ ได้โพสต์วีดีโอ และภาพของเธอกำลังให้นมลูกในบล๊อกของเธอ

เธอระบุว่า เธอได้อัพโหลดทั้งวีดีโอและรูปภาพเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนม และว่าเธอให้นมลูกแม้กระทั่งยามออกจากบ้าน โดยไม่สนว่าใครจะมอง เพราะเห็นว่าสุขภาพของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้ทำให้จำนวนผู้ชมบล๊อกของคุณแม่วัยสาวพุ่งเป็น 2 แสนคน

และมีจำนวน 6 แสนคนทางยูทูบ

ขณะที่ชาวไต้หวัน รายหนึ่งบอกว่า คุณแม่ยังสาวคนนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่

โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไต้หวันพึ่งออกกฏหมายให้คุณแม่ สามารถให้น้ำนมบุตรในที่สาธารณะได้ รวมถึงออกกฏให้ ห้างและสถานีขนส่งมีห้องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คุณแม่เพื่อให้นมบุตรด้วย

(อ้างอิง โพสต์ทูเดย์/youtube)



เชื่อหรือ ไม่! สุนัขจอมอึด

เชื่อหรือ ไม่! สุนัขจอมอึด




เจ้าของสุนัขจอมพลังสาธยายอย่าง ภูมิใจ

“ผมเห็นรูปร่างมันแข็งแรงเหมือนนักกล้ามเลยฝึก มันลากของหนักและลากรถ จนมันแข็งแกร่ง เคยพามันไปแข่งขันมาแล้วหลายครั้ง คว้ารางวัลมาหลายงาน ได้รางวัลที่ 1 พิกัดน้ำหนัก 2,500 กก. และรางวัลที่ 2 พิกัดน้ำหนัก 1800 กก. ที่กรุงเทพฯ ล่าสุดไปแข่งที่ จ.สุพรรณบุรี คว้ารางวัลที่ 3 พิกัดน้ำหนัก 1,500 กก. ระยะทาง 5 เมตร ภายใน 1 นาที


เรื่อง การลากรถหรือลากสิ่งของหนักไม่เกิน 3 ตัน มันลากสบายมาก อย่างรถปิกอัพที่บ้านหนัก 1650 กก. มีแครี่บอยหนักอีก 100 กก. มันลากเล่นเพลินๆ เป็นประจำ

การเลี้ยงดูมันก็ไม่ยากหรือวุ่นวาย ผมเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด ก่อนไปแข่งขันจะ
มีอาหารเสริมประเภทเนื้อ รวมทั้งวิตามินด้วย”

เจ้าสุนัขตัวเก่งที่ว่านี้ เป็นสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูล

เพศผู้ สีน้ำตาล อายุ 3 ปี น้ำหนัก 28 กก. ชื่อ “จังโก้” พ.อ.อ.จิรศักดิ์ ผู้เป็นเจ้าของเล่าว่า เลี้ยงเจ้าจังโก้มาตั้งแต่อายุเพียง2 เดือน เมื่อเติบโตขึ้นมันกลายเป็นสุนัขจอมอึดหรือจอมพลังไปแล้ว สามารถลากรถเก๋ง รถปิกอัพ ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,000-3,000 กก. หรือ2-3 ตัน ได้อย่างสบายๆ


โดย สามารถลากได้ไกลถึง 5 เมตรภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที แถมยังเป็นสุนัขแสนรู้อีกต่างหาก ใครเห็นก็อดชื่นชมในความสามารถและความน่ารักของมันไม่ได้ โดยเฉพาะวันเด็กทุกๆ ปี


เจ้าจังโก้มันจะกลายเป็นดารารับเชิญ โชว์ความสามารถในการลากรถที่มีบรรดา เด็กๆ นั่งกันหลายคน ให้ชมกัน ทำเอาทั้งผู้ปกครองและบุตรหลาน รวมทั้งผู้เข้าร่วมงานทึ่งในความเก่งกาจไปตามๆ กัน
สุนัข จอม พลัง สุดอึดลากรถหนัก 3 ตัน

เรื่องราวของสุนัขจอม พลังตัวนี้เกิดขึ้นที่บ้านพักของ พ.อ.อ.จิรศักดิ์ วงษ์ศิลป์ อายุ 36 ปี สังกัดฝ่ายการช่าง ฝูง 231 กองบิน 23 อุดรธานี ในกองบิน 23 อุดรธานี ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดธรธานี เนื่องจากมีเสียงกล่าวขวัญถึง
“สุนัขจอมพลัง”

รถอาถรรพ์ของเจมส์ ดีน (James Dean)

รถอาถรรพ์ของเจมส์ ดีน (James Dean)

ชีวิตของเขานั้นแสนสั้น แต่ เป็นเพราะความที่มีชีวิตอยู่ไม่นานนี้เองที่ทำให้เขาเป็นอมตะในวงการ ภาพยนตร์และภาพถ่ายของผู้ชายในยุคต่อๆ มา


เจมส์ ดีน
(James Dean)

ผลงาน ภาพยนตร์

Fixed Bayonets (1951)

Sailor Beware (1952)

Deadline - U.S.A. (1952)

Has Anybody Seen My Gal? (1952)

Trouble Along the Way (1953)

East of Eden (1955)

Rebel Without a Cause (1955)

Giant (1956)

เจมส์ ดีน หรือ เจมส์ ไบรอน ดีน (James Byron Dean) เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1931) ที่เมืองแมริออน มลรัฐอินดีแอนา เป็นบุตรชายของนาย 'วินตัน ดีน' (ช่างเทคนิคทางทันตกรรม) กับ มิลเดรด ต่อมาทั้งหมดก็ได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมือง ซานตาโมนิก้า รัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 9 ปีได้เสียแม่ไปด้วยโรคมะเร็ง และพ่อของเจมส์ตัดสินใจส่งเขากลับไปอยู่กับญาติซึ่งเป็นลุงกับป้าที่เมืองแฟร์เมาท์ มลรัฐอินดีแอนา

ขณะที่เรียนหนังสือเจมส์ ดีนทำกิจกรรมมากมาย ทั้งการโต้วาที เล่นบาสเกตบอล แต่ที่เจมส์ให้ความสนใจมากที่สุดคือการแสดงละครเวที และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้เจมส์สนใจจะเป็นนักแสดง จนกระทั่งปี 1949 เมื่อเจมส์ ดีนจบมัธยม อายุได้ 18 ปี ก็ได้ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อเตรียมเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยซานตาโมนิก้า ต่อมารเจมส์ได้ย้ายจากมหาวิทยาลัยซานตาโมนิก้า ไปมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเพื่อเรียนการแสดง ที่เขาชอบแทน ซึ่งให้เขาทะเลาะกับพ่อและถูกไล่ออกจากบ้าน


หลังจากที่ต้องออกมาอยู่นอกบ้าน เจมส์ ดีนก็จำต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองโดยทำงานรับจ้างหลายอย่าง รวมไปถึงการทำงานเป็นเด็กรับรถที่โรงถ่ายของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ได้มีโอกาสเล่นหนังโฆษณาของ โคคา-โคล่า และเป็นตัวประกอบในรายการเกมโชว์อยู่บ้าง แต่เมื่อเขาเห็นว่าไม่ก้าวหน้า เจมส์ ดีนจึงตัดสินใจออกเดินทางไปนิวยอร์กตามคำแนะนำของเพื่อน

เมื่อมาถึงนิวยอร์ก เจมส์ ดีน ได้สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนการแสดงของ ลี สตราสเบิร์ก ครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ซึ่ง ลี สตราสเบิร์กเจ้าของโรงเรียนก็เห็นแววดาราของเจมส์ ก็เลยรับไว้เป็นศิษย์โดยเก็บค่าเรียนเพียงเล็กน้อย จนกระทั่ง ในยุคช่วงต้นทศวรรษที่ 50 เจมส์ ก็ได้เริ่มมีผลงานการแสดงทางโทรทัศน์เล็กๆ น้อยๆ มากมาย เช่นรายการ Kraft Television Theater, Studio One, Lux Video Theatre และ Robert Montgomery Presents เป็นต้น

ต่อมา เจมส์ ดีน ก็เริ่มก้าวเข้าสู่วงการหนังจอใหญ่ โดยเริ่มจากการเป็นตัวประกอบโดยไม่ได้เครดิตในหนังเล็กๆ หลายเรื่อง จนกระทั่งในปี 1955 เจมส์ ดีน ก็ได้มีโอกาสรับบทเด่นเป็นครั้งแรกในหนังเรื่อง 'East of Eden' โดยรับบทเป็นตัวละครสำคัญชื่อ 'คัล แทรกส์' ซึ่ง บทนี้เองที่ส่งผลให้ เจมส์ ดีน โด่งดังและเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมาก

เจมส์ ดีน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สองครั้ง สองปีซ้อนจากหนังที่ได้แสดงไว้ คือจากเรื่อง 'East of Eden' ใน ปี 1955 และ 'Giant' ใน ปี 1956 (ซึ่งหนังเรื่อง Giant ถ่ายทำเสร็จในปี 1955 แต่ออกฉายในปี 1956) ทำให้เจมส์ ดีนเป็นเจ้าของหลายสถิติทั้งเป็น '1 ใน 5 นักแสดงในประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ได้เข้าชิงรางวัลจากการรับบทนำครั้งแรก' และยังเป็น 'นักแสดงคนแรกของประวัติศาสตร์ออสการ์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว

ในวันที่เจมส์ดีนเสียชีวิตนั้นเป็นวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1955 ตอนบ่าย เจมส์ ดีน และช่างยนต์ของเขา 'รอล์ฟ วูเทอริช' ได้ขับรถ Porsche 550 Spyder สีเงินเปิดประทุนคู่ใจของเขา ออกจากเมืองลอสแอนเจลิสหลังปิด กล้องภาพยนตร์เรื่อง " Giant " ( เจ้าแผ่นดิน ) ไปได้ 8 วัน เพื่อไปเข้าร่วมงานแข่งรถที่เมืองซาลีน่าส์ แคลิฟอร์เนีย ขณะที่เขาขับรถอยู่บนทางหลวงสาย 466 ช่วงเมืองโชเลม แคลิฟอร์เนีย รถจากเลนฝั่งตรงข้ามซึ่งขับโดยนักศึกษาวัย 23 ปี ชื่อนาย 'โดนัลด์ เทิร์นอัพสีด' ซึ่งไม่ ได้สังเกตเห็นรถของเจมส์ ได้เลี้ยวตัดหน้าเลนของเจมส์ เพื่อจะเข้าสู่ทางหลวงสาย 41 ทำให้รถทั้งสองคันประสานงากันอย่างจัง


ผลจากอุบัติเหตุจากรายงานของตำรวจที่ประสบเหตุ พบว่านายโดนัลด์ เพียงจมูกฟกช้ำและได้รับบาดแผลที่ศีรษะด้านหน้าเล็กน้อย รอล์ฟ วูเทอริช ช่างยนต์ กระเด็นตกจากรถขากรรไกรหัก และได้รับบาดเจ็บตามร่างกายเล็กน้อย ในขณะที่เจมส์ ดีน ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส ตำรวจจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจเมื่อเวลา 17.59 น. ของวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1955 ซึ่งขณะนั้น เจมส์ ดีน มีอายุได้เพียง 24 ปี

ภายหลัง เจมส์ดีนตายมีการสืบค้นอะไรหลายๆ เรื่อง ที่น่าสนใจคือรถยนต์ที่เจมส์ ดีนขับนั้นภายหลังถูกนำมาขายต่อเป็นทอดๆ และเจ้าของที่ได้รถคนนั้นไปก็ประสบชะตากรรมที่เคราะห์ร้ายต่างๆ นาๆ จนหลายๆ คนเชื่อว่ามันเป็นรถอาถรรพ์

รายแรกที่ประเดิมก็คือ ช่างซ่อมรถยนต์คนหนึ่งที่เข้าไปตรวจสภาพรถยนต์ที่พังยับที่จอดไว้ในอู่ ระหว่างที่ตรวจอยู่นั้น จู่ ๆ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์อันหนักอึ้งก็หล่นลงมา ทับขาของช่างซ่อมคนนั้น จนกระดูกขาแหลกละเอียดทั้ง 2 ข้าง

รายที่ 2 ก็คือ นายแพทย์ผู้หนึ่ง ซึ่งได้ซื้อเครื่องยนต์จากรถมรณะคันนี้ไปใส่ในรถแข่งของเขา ต่อมา เค้าก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างแข่งขัน สาเหตุเกิดจากการที่รถยนต์ของเขาควบคุมไม่ได้ แล้วมันก็พุ่งเข้าชนรถแข่งคันอื่น ๆ จนมีคนตายไปด้วยอีก 1 ศพ

รายที่ 3 เป็นอู่ โดยอู่นี้ได้นำรถของเจมส์ ดีนมาซ่อมแซมเพื่อที่จะนำไปตั้งแสดงเป็นอนุสรณ์แก่แฟน ๆ เจมส์ ดีน แต่ในระหว่างที่กำลังซ่อมรถอยู่นั้นเอง ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ยังดีที่ดับไฟได้ทัน แล้วเจ้ารถมรณะคันนี้ก็นำไปตั้งแสดงที่แชคคราแมนโค แต่ความเฮี้ยนก็ยังไม่เลิก

รายที่ 4 เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง กำลังยืนดูซากรถยนต์อยู่ดี ๆ รถมันก็เกิดหล่นลงมาทับวัยรุ่นคนนั้นทันที จนกระดูกซี่โครงหัก และอาการปางตาย

รายที่ 5 คราวนี้เป็นรถบรรทุก ที่บรรทุกรถมรณะคันนี้ไปแสดงที่โอเรกอน พอเข้าถึงตัวเมือง ปรากฎว่า รถบรรทุกคันนั้น จู่ ๆ ก็เสียหลัก เอียงถลาแล้ววิ่งเข้าชนร้านค้าที่ตั้งอยู่ริมถนนแถวนั้นจนราบเป็นหน้ากลอง คนบาดเจ็บเป็นสิบ ๆ คน


ตอนนี้ก็มีหลายคน ที่เริ่มคิดว่าเจ้ารถคันนี้มีอาถรรพ์ แน่ ๆ ก็จึงนำเจ้ารถมรณะคันนี้เก็บไว้ในอู่ที่หนึ่ง แล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
3 ปี ต่อมาก็มีคนที่คิดจะนำมันมาซ่อมเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเจมส์ ดีน แต่อาถรรพ์มันก็ยังไม่หมด ระหว่างที่นำมันมาตรวจสภาพนี้เอง ก็มีเสียงดังโครมใหญ่ เล่นเอาทุกคนในอู่นั้นกระเจิงเป็นแถว แต่คราวนี้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ว่าเจ้ารถมรณะนั้นมันกลับแยกชิ้นส่วนเองต่อหน้าต่อตาช่างเครื่องทุกคนใน อู่ คราวนี้ทุกคนก็เลิกคิดที่จะนำมาซ่อมแซม เพราะกลัวมันจะเฮี้ยนอีก แล้วก็ปล่อยทิ้งเจ้ารถมรณะไว้ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เกิดเรื่องอีกเลย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ใครบอกได้ว่าเจ้ารถมรณะคันนี้ มันมีอำนาจอาถรรพ์อันใดที่มันกลายเป็นรถแห่งหายนะได้

http://tanarat.exteen.com/20080529/entry

http://www.oknation.net/blog/past/2007/10/17/entry-1+ +

credit:cammy

เจาะกระโหลกเพื่อเพิ่มความนึกคิด..??

เจาะกระโหลกเพื่อเพิ่มความนึกคิด..??


เท รพเพนเนชั่น (
Trepanation)

เมื่อเรามีอาการปวดท้อง พ่อหรือแม่จะพาไปหาหมอ หมอ จะถามอาการต่างๆ และตรวจดู เสร็จแล้วหมอจะให้ยามารับประทาน พร้อมทั้งแนะนำเรื่องอาหารและการพักผ่อน การรักษาแบบนี้ เรียกว่า การรักษาทางอายุกรรม แต่ ถ้าเมื่อเอายาไปรับประทานและปฏิบัติตัวตามที่หมอสั่งแล้ว อาการปวดท้องกลับเป็นมากขึ้น มีคลื่นไส้ อาเจียน พ่อหรือแม่จึงพามาให้หมอดูอีกตามที่สั่งเอาไว้ คราวนี้หมอตรวจใหม่และบอกว่าสงสัยจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องผ่าตัดเอาออก การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคนี้ เรียกว่า การรักษาทางศัลยกรรม ความรู้ทางศัลยกรรมเรียกว่า วิชาศัลยศาสตร์

วันนี้คนเขียนจะนำวิธีการศัลยศาสตร์ รักษาโรคชนิดหนึ่งมานำเสนอ ซึ่งวิธีนี้เป็นการรักษาเมื่อนานมาแล้ว ไม่ใช้นานธรรมดา แต่นานถึงหลายพันปี และวิธีการรักษาก็โหดด้วย แต่น่าเหลือเชื่อวิธีการนี้ปัจจุบันยังอุตส่าห์นำมาใช้กับแพทย์สมัยอีก

วิธีการนี้เรียกว่า เทรพเพนเนชั่น (Trepanation)


เทรพเพนเนชั่นเป็นวิธีการรักษาโดยการเจาะกะโหลกเป็นรูกลมโดยใช้เครื่องมือ เจาะที่มีความแม่นยำสูงทึ่เรียกว่าค็อตแมน เครเนี่ยล เพอร์ฟอร์เรเตอร์(Codman Cranial Perfator) ซึ่งเครื่องมือไฮเทคนี้จะปิดรูกะโหลกโดยอัตโนมัติหลังจากที่ทำการเจาะเข้าไป เพื่อทำการรักษาแล้ว

ความจริงวิธีการเจาะกะโหลกแบบนี้ มีมาตั้งนานแล้ว ทั้งในยุโรปเอเชียและชาวอินเดียนแดง ในยุคหินใหม่ เมื่อ 7,000 ปีที่แล้วมีหลักฐานพบการใช้เครื่อง มือโบราณเพื่อเจาะกะโหลกศรีษะทั้งสองข้างให้เป็นรูซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า trepanation หลักฐานยืนยันจาก การขุดพบโครงกระดูกว่า มีการผ่าตัดกะโหลกศีรษะที่เรียกว่าการเจาะกะโหลก ซึ่งกระทำโดยการเจาะรูเข้าไปในกระดูกหุ้มสมอง การศึกษายังพบอีกว่าผู้ป่วยบางคนสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายปีหลังจากการเจาะ กะโหลก

สำหรับในประเทศไทยเท่า ที่มีการศึกษาโครงกระดูกหลายแห่ง เช่น การศึกษาของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร พบว่า ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี พบร่องรอยของกระโหลกที่มีการถูกเจาะ (Trepanation) โรคกระโหลกหนาที่เกิดจากคนเป็นโรคธาลาสเสเมีย (Thalassemia)


สำหรับการเจาะกะโหลกนั้นในสมัยก่อนมี วัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น จุดประสงค์เพื่อการรักษาชีวิต ชาวอินเดียนแดงเมื่อกว่า 3000 ปี มาแล้ว มีร่องรอยของการเจาะกะโหลก สันนิษฐานว่าเพื่อรักษาโรคปวดหัว ลมชัก หรือเสียสติในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะสามารถรักษาอาการปวดหัว และความผิดปกติประเภทต่างๆ นอกจากนั้นการเจาะกะโหลกบางครั้งอาจกระทำด้วยเหตุผลทางความเชื่อและศาสนา เนื่องจากเชื่อว่ารูที่กะโหลกนี้จะเป็นช่องทางปลดปล่อยวิญญาณร้ายออกจากร่าง กายผู้ป่วยด้วย

Trepanation
ตัวอย่างการเจาะกะโหลกในสมัยปัจจุบันก็เช่น เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 52 นายแพทย์เดวิด ไทแนน และนายแพทย์ร็อบ คาร์สัน แพทย์ประจำโรงพยาบาลในเมืองแมรีเบอโร ห์ เมืองเล็กๆ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมลเบิร์น เล็กๆ ได้ตัดสินใจใช้สว่านบ้านเจาะกะโหลกศีรษะเด็กชายเด็กชายนิค วัย 13 ขวบ ที่ประสบอุบัติเหตุตกจักรยานเพื่อนำเลือดคั่งในสมองออกจนสามารถช่วยชีวิตหนู น้อยเอาไว้ได้

ข่าวระบุว่า ก่อนหน้านั้น วันศุกร์ เด็กชายนิค ขี่จักรยานและเกิดอุบัติเหตุหัวกระแทกพื้นคอนกรีต แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่เป็นอะไรแต่กลับมีอาการเลือดออกในสมอง โดยนางคาเรน ภรรยาของเขา ตัดสินใจพาลูกไปโรงพยาบาลหลังจากพบก้อนด้านหลังใบหูของลูกชาย

Scultetus.jpg image by mocost
หลังจากนั้นอาการของเด็กชายก็แย่ลงเรื่อยๆ เริ่มหมดสติบ่อยครั้งจนถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทำให้แพทย์
2 คน ตัดสินใจเปลี่ยนห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเป็นห้องผ่าตัด โดยนายแพทย์ไทแนนกล่าวว่าหากไม่ทำอะไรเพื่อลดแรงดันในสมองแล้วเด็กชายนิคจะ ต้องเสียชีวิตแน่ๆ แต่แผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลไม่มีสว่านที่มีกำลังพอที่จะเจาะกะโหลกเด็กชาย พวกเขาจึงไปเอาสว่านจากแผนกซ่อมบำรุงมาใช้แทน แล้วทำการผ่าตัดโดยรับฟังคำแนะนำจากศัลยแพทย์ด้านระบบประสาทในสมองที่เม ลเบิร์นทางโทรศัพท์ไปด้วย

"มันน่ากลัวมาก เพราะคุณจะเอาแต่กังวลว่าตัวเองกดสว่านแรงไปหรือเปล่า แต่เมื่อเลือดทะลักออกมาหลังจากที่คุณเจาะกะโหลกเข้าไปได้แล้ว เราทั้งคู่ก็ตระหนักว่าเราตัดสินใจถูกแล้ว" นายแพทย์ไทแนนกล่าว

หลังจากที่ต่อท่อเพื่อนำเลือดออกมาจากสมองแล้ว เด็กชายนิคก็ถูกนำตัวขึ้นเครื่องไปรักษาต่อที่เมิลเบิร์นแล้วก็ฟื้นตัวอย่าง รวดเร็ว สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดครบ 13 ปี ของหนูน้อยพอดี

แต่นั้นคือการรักษา แต่คุณเคยเห็นคนเจาะกะโหลกเล่นๆ ไหมล่ะ?

มีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าการเจาะกะโหลกจะเป็นการทำให้ ปริมาณเลือดไหลเวียนเข้าสู่สมองเพิ่มมากขึ้นและทำให้มีสติและนึกคิดเพิ่ม ขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ พวกเขาอธิบายตามหลักการแพทย๋ว่าการเจาะกะโหลกศีรษะนั้นมีส่วนทำให้สามารถลด ความเครียดและทำให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสมองเดินสะดวกยิ่งขึ้น มีผลทำให้ปริมาณออกซิเจนและกลูโคสวิ่งเข้าไปพื้นที่สมองมากขึ้น ทำให้ผู้ที่ได้รับการเจาะสมองนั้นมีความสดชื่นและเป็นสุขตามไปด้วย โดยไม่มีอาการทางประสาทแต่อย่างใด

ชายคนหนึ่งชื่อเล่นว่า “โจ” อดีตนักเรียนอีตัน(โรงเรียนกินนอนชื่อดังของอังกฤษ) ไม่รู้อะไรที่นึกสนุกขึ้นมา เมื่อเขาเห็นอุปกรณ์เจาะกะโหลกชื่อ เทรเพน(Trepan) เป็นเครื่องเจาะกะโหลกที่รูปร่างเหมาะที่จุกขวดไวน์มีขายตามร้านขายอุปกรณ์ การแพทย์ โดยชิ้นส่วนหลักของเครื่องเจาะนี้จะมีลักษณะเป็นเดือยโลหะแหลมคมโดยมีวงแหวน ที่เป็นฟันเลื่อยล้อมรอบอยู่ เมื่อเวลาจะใช้งานก็แทงเจาะเดือยแหลม(ที่มีฟันเลื่อยวงแหวน)นี้เข้าไปที่ กะโหลก พร้อมกันนั้นต้องจับให้มั่นด้วย


ขึ้นชื่อว่าหัวของมนุษย์แล้วถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่บอบบางที่สุดและรับรู้ ความรู้สุดได้ดีสุด การเจาะหรือขุดผ่านกระดูกกะโหลกเข้าไปโดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อสมองได้รับความ กระทบสะเทือนนั้นหรือได้รับความอันตราบนั้นถือได้ว่าเป็นความระมัดระวัง อย่างสูงยิ่ง

เมื่อดันเดือยแหลมลึกเข้าไปจนส่วนที่ฟันเลื่อยนั้นแตะ ที่กระดูกกะโหลก ส่วนที่เป็นวงเลื่อยจะเกาะติดเนื้อกะโหลกและทำให้สามารถดึงแผ่นวงกะโหลก ศีรษะออกมาได้ ทำให้เห็นเนื้อสมองเต้นตุบๆ อยู่ภายในอย่างน่าสยอง

ในคราวที่โจทำการเจาะ กะโหลกด้วยตนเองนั้น เขาถือเข็มฉีดยาและยาสลบอยู่ในมือด้วย แต่เขาไม่มีแรงพอในการกดเดือยแหลมเข้ากะโหลกตนเอง เขาเลยต้องมีผู้ช่วยและก็พบว่าการเจาะกะโหลกของโจนั้นประสบความล้มเหลว เลือดไหลจากรูกะโหลกมากมายพลุ่งพล่านไปทั่วบริเวณ โจสลบคาที่ต้องส่งเข้าโรงพยาบาลโดยด่วน

โจปลอดภัยในเวลาต่อมา แต่ดูเหมือนโจจะไม่สนการรอดตายนี้นัก ในเวลาต่อมาเขาก็เริ่มพยายามเจาะกะโหลกตัวเองอีกครั้ง

“มันเหมือนมีเสียงอะไร บางอย่างที่เร่งเร้าให้ผมเจาะกะโหลกตัวเอง ผมจึงดึงเครื่องมือเจาะออกมา และเริ่มต้นเล่นงานหัวกะโหลกของผมตามต้องการ คราวนี้ผมรู้สึกเหมือนมีฟองอากาศในสมองพากันเต้นอยู่ตุบตับในยามที่กะโหลก โดนกดดันเรื่อยๆ”

“แต่จะว่าไปแล้วการเจาะ ครั้งที่สองแม้จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่ปลายเครื่องเจาะก็ทะลวงลึกจากปากรูกะโหลกเข้าไปตั้งหนึ่งนิ้ว และเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้ทะลวงลึกจากปากรูกะโหลกเข้าไปตั้งหนึ่งนิ้ว และเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เลือดทะลุกออกมาและกระเว็นไปเปื้อนเปรอะกระจก เงาที่ผมเตรียมไว้ส่องการปฏิบัติการของตนเองจนทำให้ผมตะลึงไปเหมือนกัน ผมเห็นรูลึกที่มีเลือดพุ่งพล่านออกมาราวกับน้ำพุตลอดเวลา” โจพูดถึงความจริงที่น่าทึ่งราวกับว่านี้เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง

แต่แล้วการเจาะกะโหลก ครั้งที่สองของโจไม่ประสพความสำเร็จมากนัก เพราะเครื่องเจาะไม่ตรงตำแหน่งที่ต้องการ รูที่เจาะได้จึงเล็กเกินไป

“การเจาะที่ไม่เหมาะสม ครั้งนั้นทำให้ผมลังเลใจที่จะดำเนินการเจาะครั้งต่อไป ผมกลัวว่ามันจะเป็นการทำลายเนื้อเยื่อสมอง บอกตามตรงถ้าตอนนี้ผมมีเครื่องเจาะกระโหลกไฟฟ้าละก็งานเจาะจะง่ายขึ้นเยอะ เลย

ในปี 2000 มีข่าวว่ามีชาวอเมริกันทำแบบเดียวกับโจราว 12 คน โดยการไปผ่าเจาะกะโหลกในเม็กซิโก พวกเขายินยอมจ่ายการเจาะกะโหลกที่ว่านี้ถึง 2500 ดอลลาร์แบบไม่เสียดาย

ลิลลี่ บริดจ์ อายุ 28 ปี คือผู้หนึ่งที่เข้ารับการเจาะกะโหลกเพื่อเพิ่มพลังความคิด เธอไปเจาะกะโหลกที่เมื่อมอนเทอร์เรย์ เม็กซิโก เธอกล่าวว่าการเจาะกะโหลกนั้นทำสั้นๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น เธอบอกว่าทำเสร็จแล้วเหมือนมีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่รอบหัว

“หนูพอใจกับการเจาะ กะโหลกค่ะ หลังจากเจาะกะโหลกแล้วหนูรู้สึกมีพลังความคิดเพิ่มขึ้น” เธอกล่าวส่งท้าย

แต่กระนั้นแพทย์แผน ปัจจุบันต่างออกมาปฏิเสธการรักษานี้ เพราะยังไม่มีการยืนยันว่าการเจาะกะโหลกสามารถทำให้เพิ่มความนึกคิดขึ้น แพทย์อังกฤษปฏิเสธที่จะเจาะกะโหลกให้คนไข้เพราะว่าการเจาะกะโหลกนั้นอาจส่ง ผลให้มีอาการเสี่ยงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดอุดดัน อาการบาดเจ็บทางสมอง รวมไปถึงอาการไขสมองอักเสบได้ด้วย

ท้ายสุดมันก็ขึ้นอยู่กับ วิจารญาณของแต่ละคนว่าการเจาะกะโหลกนั้นทำให้เพิ่มความสดชื่น อารมณ์ดี และให้พลังแก่ผู้ถูกเจาะจริงหรือ?

ถ้าใครอยากทราบรายละเอียด อยากลองทำด้วยตนเอง สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ www.trepan.com

จาก หนังสือรวมเรื่องโหดเหลือเชื่อเรื่องจริง+ +/credit:cammy


Stockholm Syndrome มนต์รักอสูร

Stockholm Syndrome มนต์รักอสูร

1975 กลุ่มผู้ก่อการร้าย พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าไปในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ใน กรุงสต็อคโฮล์ม สวีเดน จับประชาชน และ เจ้าหน้าที่ จำนวน 30 กว่าคน เป็นตัวประกันเรียกร้องทางการเมืองบางประการต่อรัฐบาล

ผลการเจรจาต่อรอง ไม่เป็นผลสถานการณ์ยืดเยื้อนานหลายวัน จนในที่สุด รัฐบาลตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ใช้กำลังตำรวจหน่วยพิเศษ เข้าจู่โจมเข้าไปในอาคาร พังประตู เข้าทางหน้าต่าง บ้างก็มุดดินเข้าไป(ขอมดำดินเรอะ)

ท่ามกลางความชุลมุน วุ่นวาย ตัวประกันส่วนหนึ่ง กลับขัดขวางเจ้าหน้าที่ และช่วยกันปกป้องคนร้าย บางคนถึงกับใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้กับผู้ก่อการร้าย ตำรวจไม่กล้าใช้ความรุนแรง เพราะกลัวตัวประกันได้รับอันตราย ต้องถอนกำลังกลับออกมาอย่างเซ็ง เซ็ง

สุดท้าย ผู้ก่อการร้ายทั้งหมดหลบหนีออกนอกประเทศไปได้โดยความร่วมมือของตัวประกัน

มีคำถามตามมา ว่า ทำไมตัวประกันจึงให้ความช่วยเหลือแก่ ผู้ก่อการร้าย เหล่านั้น ??

และนี้คือเรื่องของวันนี้ครับ


สต็อคโฮ ล์ม ซินโดรม(
Stockholm Syndrome)

Stockholm Syndrome หมายถึงอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่คนร้าย และเชลยอยู่ร่วมกันในสถานที่จำกัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนเชลยเกิดความเห็นใจและความรู้สึกในแง่ดีต่อตัวคนร้าย

อาการนี้มักจะเกิดกับเชลยที่ใช้เวลา อยู่กับคนร้ายเป็นเวลานาน ได้รับฟังเหตุผลในการกระทำจนเกิดอารมณ์ร่วมด้วย ทำให้เชลยเกิดความไว้วางใจหรือความรักในตัวคนร้ายขึ้นมา อีกทั้งจากการที่มีการขู่ว่า"หากตำรวจบุกเข้ามา จะฆ่าเชลยทั้งหมด"ก็ทำให้เชลยเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเองจึงไม่อยากให้ ตำรวจบุกเข้ามา และประพฤติตนโอนเอียงไปในทางให้ความร่วมมือกับคนร้ายมากกว่า

นักจิตวิทยาวิเคราะห์ Stockholm Syndrome ว่า เป็นพฤติกรรม " สองดอกจิก แหม่มโพธิ์ดำ "หรือที่ทางธรรม เรียกว่า เห็นผิดเป็นชอบ เกิดจากความใจอ่อน สงสารสัตว์โลกผู้ชะตาตกต่ำ ประกอบกับ ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ก่อการร้ายเป็นระยะเวลานานกินข้าวหม้อเดียวกัน - นอนเตียงเดียวกัน มิได้ถูกข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หรือ พูดจาประชด ถากถาง แม้แต่น้อย จึงเกิดความสงสาร เห็นใจ หันมาเข้าข้างเค้าซะเลย

" พวกเขาน่ารัก และ อ่อนโยน ไม่เคยตะคอกพวกเราสุภาพ กว่า ข้าราชการบนศาลากลางอีกแน่ะ " ตัวประกันคนหนึ่งกล่าว

ชื่ออาการทางจิตนี้ตั้งขึ้นตามคดีที่ เกิดขึ้นที่ชื่อเมืองสต็อกโฮล์มเมื่อปี 1973 โจรปล้นธนาคารจับตัวประกันไว้และ ถูกล้อมโดยตำรวจ หากในภายหลังเมื่อตำรวจบุกเข้าจับกุมคนร้ายและคลี่คลายสถาณการณ์ลงได้ ตัวประกันกลับให้การโดยเข้าข้างฝ่ายคนร้าย และมีกระทั่งตัวประกันที่แต่งงานกับคนร้ายในภายหลัง


Patricia Campbell Hearst

(20 กุมภาพันธ์ 1954 – ?? )
ชื่อ ปัจจุบัน Patricia Hearst Shaw

อาชีพ ไฮโซ, ดาราหญิง,

ปัจจุบันอายุ 55 ปี ซานฟานซิสโก แคลิฟอร์เนีย

ญาติ

William Randolph Hearst (ปู่)
Anne Hearst (น้องสาว)
Amanda Hearst (ญาติ)

แพทริเชีย เฮิร์สท เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1954 เป็นทายาทของวิลเลี่ยม แรนดอล์ฟ เฮิร์สท (William Randolph Hearstซึ่งเป็นไฮโซและ ผู้ก่อตั้งเฮิร์สทกรู๊ปซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลด้านสื่อมวลชนเป็นอย่างมากในยุค นั้น อีกทั้งเธอยังเป็นคนดังในสังคมที่รู้จักกันไปทั่ว

เรื่องราวของเธอมาโด่งดังเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1974 ขณะที่แพทริเชียอยู่กับคนรักของเธอ ที่อพาร์เมนท์หรูในเบอร์เคอร์เลย์ ซานฟรานซิสโก เธอถูกกลุ่มคนร้ายกองทัพปลดปล่อยอิสระ SLA (Symbionese Liberation Army) ลักพาตัวไปทั้งยังอยู่ใน ชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ

ในตอนแรก SLA ตั้งใจจะใช้แพทริเชียเป็นตัวประกันใน การแลกเปลี่ยนกับพรรคพวกของตนซึ่งถูกจับกุมอยู่ แต่เปลี่ยนใจภายหลังมาเป็นเรียกร้องค่าไถ่ตัวกับครอบครัวของแพทริเชียแทน กลุ่มคนร้ายได้เรียกร้องให้ครอบครัวเฮิร์สทแจกจ่ายอาหารให้กับคนยากไร้ในแค ลิฟอร์เนียหัวละ 70 ดอลล่าร์ ซึ่งคิดเป็นเงินรวมถึงสี่ร้อยล้านดอลล่าร์ และพ่อของตัวประกันก็บริจาคอาหารเป็นเงินรวม 6 ล้านดอลล่าร์แจกจ่ายให้กับคนยากไร้ใน เขตท่าเรือ ต่อมา SLA ก็ ปฏิเสธที่จะปล่อยตัวแพทริเชียโดยอ้างว่าเฮิร์สทแจกจ่ายอาหารคุณภาพต่ำกว่า ที่พวกเขากำหนดไว้ (ใน เทปบันทึกเสียงซึ่งเปิดเผยสู่สาธารณชนในภายหลัง แพทริเชียกล่าวว่า เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอทำได้ดีกว่านั้น)

File:Hearst-hibernia-yell.jpg
อีกสองเดือนให้หลัง เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั่วอเมริกา วันที่ 15 เมษายน มีการปล้นธนาคารที่ธนาคารฮิเบอร์เนีย สาขาซันเซ็ต และกล้องรักษาความปลอดภัยก็จับภาพหญิงสาวผู้หนึ่งในกลุ่มคนร้ายไว้ได้ เธอถือแมชชีนกันพร้อมกับตะโกนสั่งคนที่อยู่ในธนาคารด้วยเสียงอันดัง และเธอผู้นี้ก็คือแพทริเชีย เฮิร์สทซึ่งถูก SLA จับไว้ในฐานะตัวประกันนั่นเอง

โดยเทปและรูปถ่ายที่ SLAส่งมาในภายหลัง แพทริเชียประกาศในเทปดังกล่าวด้วยตัวเองว่า"ชื่อของฉันคือทาเนีย และฉันคือนักรบของ SLA"

หลักฐานจากปากพยาน และ กล้องวิดีโอ ระบุว่า หลังจากเธออยู่กับโจรมาพักใหญ่ เธอก็เปลี่ยนใจไปอยู่ฝ่ายผู้ร้าย ร่วมควงปืน จี้ตัวประกันคนอื่นแล้วหอบเงินหนีไปกับโจรหนุ่มหน้าหวานนักจิตวิทยาลงความ เห็นว่า เป็นอาการทางจิต แต่ ลเลี่ยม แรนดอล์ฟ เฮิร์สท ผู้เป็นพ่อของเธอบ่นพึมพำว่า " มันเป็นลูกไม่รักดี " และเมื่อวิลเลี่ยม วอลฟ์ซึ่งเป็นหนึ่งสมาชิก SLA ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต เธอก็กล่าวผ่านเทปซึ่งถูกนำมาออกอากาศดังนี้

"ฉันรักเขามาก เขาเป็นพวกพ้องผู้ร่วมต่อสู้เพื่อคนยากไร้และฉันก็จะต่อสู้จนวาระสุดท้ายโดย ไม่เกรงกลัวความตายเช่นเดียวกับเขา"

เหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไปเวลา1 ปีกับอีก 9 เดือน ในเดือนกันยายน 1975 แพทริเชียและ SLA คนอื่นๆก็ถูกจับกุมที่อพาร์ทเมนท์ใน ซานฟรานซิสโก ขณะที่ถูกจับกุมนั้น แทบจะไม่มีใครบอกได้ว่าเธอเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีเลย แพทริเชียในตอนนั้นใส่เสื้อวอร์มแขนยาว กางเกงผ้าฝ้ายราคาถูก รองเท้ายางสกปรก และไม่ได้ใส่เสื้อยกทรง

FBI ได้ให้เหตุผลไว้สองประการ เกี่ยวกับการจับกุมที่ล่าช้ามาถึงเพียงนี้ หนึ่งนั้นเพราะแพทริเชียไม่ได้ติดต่อมายังครอบครัวอีกทั้ง SLA เป็นกลุ่มคนร้ายเล็กๆที่แทบไม่มีใคร รู้จักมาก่อน แม้แต่ FBI ซึ่ง จับตามองกลุ่มคนร้ายต่างๆทั่วโลก ก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ SLA เลย

แพทริเชียหายหน้าไปจากสังคมเป็นเวลา นาน และเมื่อศาลเริ่มการตัดสินเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1976 แพทริเชียก็ปรากฏตัวที่ศาลใยืนยันใน ศาลว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ และทุกอย่างที่เธอทำลงไปนั้นเป็นเพราะถูกล้างสมอง เธอไม่ได้หลงรักวอลฟ์เลยแม้แต่น้อย

File:Patricia Hearst 1979.jpg
คำอ้างดังกล่าวของแพทริเชียไม่เป็นที่ยอมรับในศาลเพราะเธอยังคงเก็บจี้ห้อย คอของวอลฟ์ไว้ติดตัวตลอดเวลา ศาลได้ตัดสินให้เธอถูกจำคุกเป็นเวลา 7 ปี แต่เพทรีเซียจ่ายเงินประกันตัว 1,500,000 ดอลล่าร์ปบวกกับคำ สั่งละเว้นโทษจากประธานาธิบดี แพทริเชียก็ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ

จะอย่างไรก็ดี ตระกูลเฮิร์สทก็ได้รับผลกระทบมากมายจากคดีนี้ พ่อแม่ของแพทริเชียหย่าขาดจากกัน แม่ของเธอกลายเป็นโรคแอลกอฮอลลิซึ่ม แพทริเชียก็ถอนหมั้นจากคนรัก เธอได้พบรักใหม่กับตำรวจซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของเธอหลังการปล่อย ตัวนั่นเอง เมื่อแพทริเชียอายุ 25 ปี ทั้งสองก็แต่งงานและมีบุตรด้วยกัน 2 คน

หลังจากปี 1990 มา แพทริเชียได้รับบทแสดงเป็นตัวประกอบในหนังหลายเรื่อง และแล้ว สต๊อกโฮล์มซิน จึงใช้เป็นชื่อสากลในวิชาจิตวิทยา มาจนถึงทุกวันนี้

เนื้อหาเอามาจาก

http://ohx3.exteen.com/20070630/patricia-hearst

http://en.wikipedia.org/wiki/Patty_Hearst+ +

http://www.2how.com/user/index.php?id=49&list=showcase&blogname=viroonmoonlover&page=5/credit:cammy

นักถล่มสาวใช้(The Servant Girl Annihilator)ฆาตกรปริศนาที่ออสติน

นักถล่มสาวใช้(The Servant Girl Annihilator)ฆาตกรปริศนาที่ออสติน
มันเป็นใกล้สิ้นปี 1884 และสามปีต่อมาลอนดอนก็รู้จักฆาตกรนามปีศาจแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ที่ทำการฆ่าโสเภณี 5 -7 รายอย่างโหดเหี้ยม และเจ็ดปีหลังจากนั้น เอซ,เอซ โฮล์ม ก็ก่อเหตุฆาตกรรมฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ทั้งสองแม้จะต่างช่วงเวลากันแต่ความโหดในการฆ่าก็จัดอยู่ในเอกลักษณ์ใน พงศาวดารอาชญากรรมของโลกแห่งนักฆ่า

กลับมาปี 1884 ต่อ ในช่วงสิ้นปีนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความ สุขใช่เปล่าละ หลายๆ คนต่างอยู่แต่ในบ้านเฉลิมฉลองกัน เพื่อลืมทุกข์ต่างๆ นๆา ของปีนี้(อเมริกาในช่วงนี้เกิดปัญหาเรื่องแรงงานนายจ้างเอาเปรียบลูกจ้าง จนเกิดเหตุการณ์นัด หยุดงานในอเมริกาหลายพันครั้งในช่วงปี ค.ศ.1884 ถึง 1886) แต่บางคนใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป โดยเฉพาะพวกที่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตนาม......................


The Servant Girl Annihilator

หรือฉายามือขวานออสติน (Austin Axe Murderer)

ฆ่าคนไป 7 ราย

ออกอาละวาดในช่วง 30 ธันวาคม 1884 – 24 ธันวาคม 1885

เท็กซัส อเมริกา

ปัจจุบันคดียังเป็นปริศนา


ออสติน (Austin) เป็นเมืองหลวงของรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเคาน์ตี้ทราวิส เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเทกซัส และเป็นอันดับที่ 16 ของประเทศ ในปี 2007 มีประชากร 743,074 คน และเป็นบ้านเกิดของ แอนดี รอดดิกยอดนักเทนนิสมือ 6 ของ โลกชาวอเมริกัน

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ออสตินจะเป็นเมืองที่ดัง หรือใหญ่โตเป็นมหานครอย่าง ซาน อันโตนิโอ ความจริงแล้วออสติน เป็นเมืองขนาดกลางๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องศิลปะ การดนตรี และความอิสระในหัวคิดสมัยใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วรัฐเท็คซัสจะเต็มไปด้วยพวกหัวอนุรักษ์นิยม แต่ออสตินนั้นกลับกัน เพราะออสตินนั้นเป็นที่ตั้งของ มหาลัยเท็กซัส ที่ซึ่งมีนักศึกษาหัวสมัยใหม่มาตั้งรกรากอยู่แบบถวาร ทำให้เมืองนี้ได้ความทันสมัยจากนักศึกษาเหล่านั้น นอกจากนี้ออสติน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เรื่องดนตรี งานนี้ ที่จัด ทุกๆ เดือน ก.ย. เป็นงานที่ใหญ่ ที่มีวงมาเล่น เป็นพันๆ วง เรียกได้ว่าดูคอนเสริตฟรีๆ กันตั้งแต่เช้าจนค่ำงานก็ไม่เลิก

นอกจากนี้ก็ยังมีที่เที่ยวเยอะแยะ คุณจะไปไหนละ Bats Underneath Congress Bridge หรือจะเป็น Elisabet Ney Museum แต่ถ้าจะดูจุดเด่นเห็นจะไม่เกิน Moonlight Towers หรือหอคอยแสงจันทร์

หอคอยแสงจันทร์ตั้งอยู่ มันเป็นหอคอยโครงเหล็กที่ออกแบบธรรมดา สูงๆ ที่ครั้งหนึ่งมันได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่างแก่พื้นที่เกือบทั้งหมดของ เมืองในเวลากลางคืน โครงสร้างนี้เป็นที่นิยมในปลายศตวรรษที่ 19 ของเมืองขนาดเล็กทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากแข็งแรงและมาตรฐาน แม้ปัจจุบันมันประโยชน์ของมันไม่ค่อยได้ใช้แล้ว แต่ก็ถือว่ามันคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองออสตินก็ว่าได้

แต่ที่เด่นไม่ใช้เพราะความสวยงาม แต่เด่นเพราะเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ฝันร้ายของเมืองออสติน” มันถูกสร้างเพราะคดีหนึ่ง คดีที่คนในยุค 1884-1885 ต่างหวาดกลัว แม้คุณอยู่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัย เพราะความตายจะมาเยือนคุณถึงที่

ความตายที่ว่านั้นคือ ฆาตกรปริศนานาม “นักถล่มสาวใช้” หรือ The Servant Girl Annihilator

Austin, Texas in 1890
ฆาตกรปริศนารายนี้ขึ้นทำเนียบฆาตกรปริศนา มันก่อกรรมทำเข็นที่เมืองออสติน ในรัฐเท็กซัส ระหว่างปี1884-1885 อเมริกา มีผู้ตกเป็นเหยื่อของมัน 7 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เป็นสาวใช้ผิวดำ ที่ตายด้วยน้ำมือของฆาตกรรายนี้อย่างอำมหิต บางรายมันถึงกลับบุกไปฆ่าถึงเตียงนอนที่บ้าน จากนั้นก็ลากมาฆ่าต่อที่ข้างนอก บางรายถูกข่มขืนยับ และบางคนร้ายกว่านั้นเพราะฆาตกรได้ใช้ขวานสับใบหน้าเหยือจนหูและหน้าเละแหลก เหลว

ในวันส่งท้ายปีเก่า ไม่รู้มันเกี่ยวข้องอะไร สงสัยมันอยากเป็นซานต้าคลอสมั้ง อยากจะแจกจ่ายความตายไปให้คนอื่นๆ เพราะ มันเริ่มต้นฆ่าเหยื่อรายแรกในช่วงนี้ เหยื่อคนแรกที่มันฆ่าคือ สาวใช้ผิวดำ นามนาง มอลลี่ สมิธเธอถูกมันทำร้ายในวันส่งท้ายปีเก่าพอดี

มีผู้ต้องสงสัยคดีนี้ หลายร้อยคน แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่ได้อะไร เหยื่อรายสุดท้ายคือหญิงผิวขาวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่ แล้วไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ มันก็หยุดฆ่าไปเลย

แปลกดีเริ่มต้นส่งท้ายปีใหม่และมาจบในวันใกล้ส่งท้ายปี ใหม่.....

มีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกร รายนี้กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์คือคนเดียวกัน แต่กระนั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานแหละไม่มีหลักฐานสักหน่อย แต่กระนั้นมันก็ถือได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ก็ว่าได้

แล้วทำไมมันถึงหยุดฆ่า มันถูกจับเหรอ เหยื่อรายสุดท้ายผิดหลักการของมันเหรอ หรือมันพอใจที่จะหยุด หรือว่า..............

Drawing of Mollie Smith

เหยื่อรายแรก ปี 1884 ใน วันส่งท้ายปีเก่ามอ ลลี่ สมิธ(Mollie Smith) นิโกรสาวใช้อายุ 25 ปี คือเหยื่อรายแรกของฆากตกรในนี้

มอลลี่ สมิธเป็นสาวใช้ทำงานประจำในหอพักวิลเลี่ยม บนถนน Pecan ตะวัน ตก ในวันที่เกิดเรื่องเธอเก็บของและกำลังจะกลับจากที่ทำงาน

และในคืนนั้นเองทั้งเธอ และสามีก็ถูกฆาตกรคนนี้ทำร้าย สามีของเธอ(สามีชื่อ Walter Spencer อยู่กินด้วยกันโดยไม่จดทะเบียน)ถูกโจมตีในขณะที่เขาหลับ(คงโดนโปะยาสลบ) เขาตื่นขึ้นมาเมื่อจู่ๆ พบว่าเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนที่จะรู้ว่าเขาโดนอะไรสักอย่างที่ทำให้เกิด บาดแผลลึกยาวที่ใบหน้า ในห้องนอนเต็มไปด้วยความสับสน และเลือดกระจุดกระจายหลายจุด

มอลลี่ หายไปไหน.........

สามีของมอลลี่ รีบระดมคนมาช่วยค้นหา จนในที่สุดนายจ้างของเธอก็พบตัวเธอ

แต่เธอตายไป แล้ว.....................ศพของเธออยู่หลังที่ทำงานของเธอเอง แม้ในขณะนั้นหิมะกำลังตกโปรยปรายแต่หลายๆ คนเห็นศพของเธอชัดเจน เพราะมันเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอถูกอาวุธหนักประเภทกระบองตีจนเละ และหัวถูกขวานสับจามจนแผลฉีกเป็นทางยาวอย่างน่ากลัว แม้จะดูสยดสยองแต่หลายๆ คนก็รู้ว่าฆาตกรที่ฆ่าเธอคงจะสนุกสะใจมาก มันคงมีความสุขในการเข็นฆ่าคนที่ไม่มีทางสู้ มันจงใจลากเธอมาฆ่าที่นี้อย่างโหดเหี้ยมเสมือนหนึ่งนี้เป็นของขวัญส่งท้ายปี ใหม่

ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ ก็จั่วข่าวใหญ่โตว่า “กระหายเลือดทำงาน!!และนี้คือผล งานครั้งแรกของฆาตกรนาม “นักถล่มสาวใช้”

ในด้านการสอบสวนคดีนี้ น่าเสียดาย ในสมัยนั้นเทคโนโลยีในการตรวจสอบหลักฐานไม่ค่อยทันสมัยนั้น ไม่มีใครเสนอในการใช้ DNA ในการตรวจสอบหาฆาตกร ไม่มีทั้งการตรวจหาเส้นขนเล็กๆ ในเสื้อผ้าผู้ตาย สิ่งที่สืบสวนมีเพียงแค่สุนัขดมกลิ่นกับหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและข้อ สันนิษฐานเท่านั้นในการระบุหาฆาตกร

ท่ามกลางการสอบสวนที่ เสมือนเป็นยุคหิน นักถล่มสาวใช้ก็ได้เหยื่อรายที่ 2

Drawing of Eliza Shelley

รายที่ 2 วัน ที่ 6 พฤษภาคม 1885 เอลิซ่า เชลลีย์(Eliza Shelley) สาวใช้ผิวดำถูกฆาตกรฆ่า และ เธอถูกพบในมุมพื้นถนนจอห์นสัน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซอนไซ สภาพศพบ่บอกถึงความสนุกสนานของฆาตกรเหมือนรายก่อน หน้า มันคงทำร้ายเธอในตอนหลับโดยใช้ยานอนหลับแล้วลากเธอมาเล่นต่อบนพื้น ทั้งๆ ที่ใส่ชุดนอนอยู่ แล้วจับเธอกดบนพื้นแน่นและใช้อาวุธประเภทของมีคมแทงไปในหัวจน สมองเละเช่นเดียวกับอีกแผลที่บาบอกได้ว่าเธอถูก ทำร้ายด้วยขวาน จนหัวแทบแยกออกเป็นสองซีก

ในด้านการสอบสวนคดีนี้ ตำรวจพยายามเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น การใช้สุนัขดมกลิ่นเพื่อหาหลักฐาน แต่สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมคือ....ไร้หลักฐาน....ฆาตกรลอยนวล

Drawing of Irene Cross

รายที่3 เพียงสองสัปดาห์หลังจากเชลลีย์ถูกฆ่า วันที่ 23. พฤษภาคม 1885 ไอรีเน่ ครอส(Irene Cross) สาวใช้นิโกรที่อาศัยในบ้านกระต๊อบในเบียร์ การ์เด้น สาวใช้ผิวดำผู้นี้ถูกฆาตกรบุกมาฆ่าถึงกระต๊อบตอนตึก มันกระหน่ำหัวเธอจนเละด้วยมีดประหนึ่งว่ามันพยายามลบใบหน้าของเธอออก เพราะจากสภาพศพเหมือนกับว่าฆาตกรพยายามลอกหนังหัวของเธออก และแขนของเธอเกือบขาดไปจากร่าง

ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ หรือการเชื่อมโยงของฆาตกรในการฆ่าโหดรายนี้ หลายข้อสันนิษฐานถูกตั้งขึ้นราวกับดอกเห็ด ไม่ว่าจะเป็นความราคะของฆาตกร ที่ฆ่าเพราะความสนุก หรือมีความแค้นกับสาวใช้ผิวดำ หรือปัญหาวัยเด็กของฆาตกร

รายที่ 4 ในเดือนสิงหาคม แมรี่ รามี่(Mary Ramey) อายุ 11 ปี และแม่ของเธอ รี เบคก้า รามี่ (Rebecca Ramey) ถูกฆาตกรปริศนาทำร้าย รีเบคก้ารอดชีวิตมาได้ ส่วนลูกของเธอตายคาที่

หลังฆาตกรรายนี้ออก อาละวาด เจ้าหน้าที่ถูกเกณฑ์มาประจำตำแหน่งในเมืองออสตินเพิ่มขึ้นเพื่อตรวจตราเมือง นี้ยามค่ำคืน มีการนำเสนอรางวัลหาเบาะแสเพื่อนำจับ แม้กระทั้งร้านขายเหล้าถูกบังคับให้ปิดที่เที่ยงคืน แต่ดูเหมือนกลับว่ายิ่งเข้มงวดฆาตกรก็ยิ่งบ้าเลือดยิ่งขึ้น..........

Drawing of Orange WashingtonDrawing of Lucinda Boddy

รายที่ 5 และ 6 ลูซินด้า บอดดี้(Lucinda Boddy) เป็นแม่ครัวผิวดำทำอาหารบ้านของทนายความ (W d Dunham) ที่ซึ่งตั้งใกล้มหาลัย ที่นี้นอกจากเธอแล้วก็ยังมีเพื่อนอีก 3 คนคือกราเซีย ฟานซ์(Gracie Vance) และสามีออเร้นจ์ วอชิงตัน (Orange Washington) และคนใช้ร่วมงานอีกคนคือ แพทซี่ กิ๊บสัน(Patsie Gibson) ทั้งหมดอาศัยบนเรือนคนใช้หลังบ้าน

ใน 26 เดือนกันยายน เวลา 24:00น ค่ำคืนวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความเงียบสงบ สมาชิกในบ้านทนายความต่างหลับใหล ไม่มีสิ่งใดๆ ที่เตือนถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

แต่แล้วมันก็ เกิด.......กราเซีย ฟานซ์ตื่นมาเป็นคนแรก และส่งเสียงกริ๊ดเมื่อพบว่ามีใครบางคนจับเธอเพื่อหวังข่มขื่น เธอลุกขึ้นบนเตียงพยายามต่อสู้กับผู้มาเยือนที่หวังร้ายอย่างสุดฤทธิ์ แต่เธอก็โดนตอบโต้ด้วยขวานที่ถูกตบมายังหัวของเธอ ผู้บุกรุกใช้ขวานนั้นสับหัวเธออย่างรุนแรง จนกะโหลกศีรษะของเธอแยก ขวานจมไปยังถึงสมองของเธอ กราเซีย ฟานซ์ ตายคาที่

จากนั้นผู้บุกรุกผู้นี้ ก็ทำร้ายสมาชิกคนอื่นๆ ในเรือนคนใช้แพทซี่ กิ๊บสันถูกตีที่กะโหลกศีรษะ และหน้า โดยกระบองและขวานแต่ก็มีชีวิตมาได้ จากนั้นมันก็มาบุกเข้าไปทำร้าย ลูซินด้า และ ออเร้นจ์ โดนขวานสับ ส่วนทางด้าน ลูซิ นด้า คืนสติขึ้นจากเตียงนอนและพยายามต่อสู้ เหมือนกราเซีย เธอด่าทั้งตบผู้มาเยือนอย่างรุนแรง และไม่รู้ทำไมแทนที่ฆาตรผู้บุกรุกจะโกรธจัดมันกลับถอยหรัอย่างไม่น่าเชื่อ

คนใช้ทั้งสี่คนถูกส่งไป โรงพยาบาลทันที ในค่ำคืนนั้น ลูซินด้า บอดดี้และ แพทซี่ กิ๊บสันรอดจากความตายครั้งนี้อย่างหวุดหวิด กราเซีย ฟานซ์ตายคาที่ ส่วนออเร้นจ์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เขาเสียชีวิตในวันถัดมา

1 ปี เกือบ 1 ปี ที่เจ้านักถล่มสาวใช้ออกอาละวาดไปทั่วออสติน ซึ่งโดยปกตินิสัยฆาตกรต่อเนื่องมันจะฆ่าคนไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะถูกจับ แต่แล้วเมื่อวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่เดือนธันวาคม หลังจากมันฆ่าเหยื่อรายที่ 6 และ 7 ในคืนเดียว ที่เป็นคนผิวขาวแล้ว จู่ๆ มันก็หยุดฆ่าและหายสาปสูญไม่กลับมาอีกเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

Drawing of Eula Phillips
เหยื่อ ที่ 6 และ 7 คราวนี้ฆาตกรฆาตกรฆ่าเหยื่อไป 2 รายในคืนเดียว แถมเป็นวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่อีก รายที่ 6 คือ ชู แฮนค็อก
(Sue Hancock) สามีตื่นขึ้นมาพบเธอที่สนามหลังบ้าน เธอคงถูกดึงขึ้นจากเตียงในขณะที่เขากำลังงีบหลับบนเก้าอี้ สภาพของเธอเลือดท่วม ที่หัวกะโหลกถูกโจมตีด้วยขวานและกระบองอย่างรุนแรง หัวของเธอถูกผ่าเปิด แต่เธอไม่ตายในทันที ยังคงเหลือสติก่อนที่จะตายในเวลาต่อมา

ในอีก ชั่วโมงต่อมา ฆาตกรรายนี้ก็ผิดหลักการของมันเพราะมันบุกจู่โจมคู่สามีภรรยาฟิลลิปส์ ซึ่งทั้งสองไม่ใช้คนใช้ และไม่ใช้คนดำ เพียงแต่วิธีการของมันก็เหมือนกับเหยื่อรายก่อนๆ คือ ยูล่า (Eula Phillips) ภรรยาของ จิมมี่ ฟิลลิปส์ ถูกทำลายด้วยขวานที่ศีรษะจนตายขณะนอนหลับ และฆาตกรลากเธอไปฆ่าใกล้ซอยใกล้บ้านของพ่อตาของเธอ และคดีนี้มีอะไรต่างจากคดีอื่นตรงที่ฆาตกรได้ทิ้งรอยเท้าที่พื้น........(ในคดีของยูล่า เจ้าหน้าที่สงสัย จิมมี่ ฟิลลิปส์ ว่าอาจอาศัยความมั่นนิ่มฆ่าภรรยาของตนเอง)

และจากนั้น “นักฆ่าสาวใช้” ก็หายไปจากเมืองออสติน ไม่มีรายงานการออกอาละวาดของฆาตกรรายนี้เลยตลอดกาล

แม้ฆาตกรจะจากไปแล้ว และการสอบสวนก็ล้มเหลวไม่มีใครสามารถจับตัวการของคดีนี้ได ทำให้สันนิษฐานกันว่า บางที่ฆาตกรอาจจะเป็นเกี่ยวข้องนักการเมืองในห้องถิ่นที่มีอำนาจวาสนาที่จะ ปิดปากตำรวจก็ว่าได้ และมีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกรราย นี้กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์คือคนเดียวกัน ว่ากันว่าหลังจากนักถล่มสาวใช้ฆ่าคนที่เมืองออสตินจนพอใจแล้วมันก็ได้ เปลี่ยนที่ทำการใหม่ไปที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำการฆ่าโสเภณี 5-7 ราย และหลายคนเรียกมันว่า “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ซึ่งสิ่งที่เชื่อมโยงคือลักษณะการฆ่าของมันที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนากับบาด แผลของเหยื่อแสดงให้เห็นว่า “นักถล่มสาวใช้”กับ “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” คือคนๆ คนเดียวกัน แต่ก็นั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่พูดปากตาปากในวงเหล้าเท่านั้น

Moonlight tower

หลังเกิดคดีนี้ขึ้นก็ได้เริ่มมีการสร้าง Moonlight Towers ไว้ตรงกลางเมือง เพื่อให้เส้นทางเดินสว่างขึ้น(ปัจจุบัน มันเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองออสตินโดยบริยาย)

ปัจจุบัน มีบริการทัวร์ฆาตกรรมสถานที่ “นักถล่มสาวใช้” ก่อกรรมทำเข็นตามที่ต่างๆ จัดขึ้นเดือนละครั้ง เป็นเวลา 90 นาทีและมีการแสดงละคร ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ใครสนใจลองติดต่อสอบเพื่อตรวจสอบกำหนดการที่ www.austinghosttours.com และทำการจองหรือซื้อตัวที่ถึง ที่ออสตินก็ได้

นอกจากนี้เรื่องราวของฆาตกรรายนี้ถูกนำไปแต่งนิยายเหมือนกัน เขียนโดย สตีเว่น เซย์เลอร์ (Steven Saylor) เรื่อง A Twist at the End ตีพิมพ์ ในปี 2000 ใครสนใจก็ลอง หาตามเว็บต่างๆ ดูนะครับ

แปลและดัดแปลงจาก http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/history/servant_girl/index.html+ +

ขอขอบคุณทุกบทความดีๆมี สาระจากคุณ..CamMy...จากเว็ป..DekDee..มากๆ