มันเป็นใกล้สิ้นปี 1884 และสามปีต่อมาลอนดอนก็รู้จักฆาตกรนามปีศาจแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ที่ทำการฆ่าโสเภณี 5 -7 รายอย่างโหดเหี้ยม และเจ็ดปีหลังจากนั้น เอซ,เอซ โฮล์ม ก็ก่อเหตุฆาตกรรมฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ทั้งสองแม้จะต่างช่วงเวลากันแต่ความโหดในการฆ่าก็จัดอยู่ในเอกลักษณ์ใน พงศาวดารอาชญากรรมของโลกแห่งนักฆ่า กลับมาปี 1884 ต่อ ในช่วงสิ้นปีนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความ สุขใช่เปล่าละ หลายๆ คนต่างอยู่แต่ในบ้านเฉลิมฉลองกัน เพื่อลืมทุกข์ต่างๆ นๆา ของปีนี้(อเมริกาในช่วงนี้เกิดปัญหาเรื่องแรงงานนายจ้างเอาเปรียบลูกจ้าง จนเกิดเหตุการณ์นัด หยุดงานในอเมริกาหลายพันครั้งในช่วงปี ค.ศ.1884 ถึง 1886) แต่บางคนใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป โดยเฉพาะพวกที่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตนาม......................
The Servant Girl Annihilator
หรือฉายามือขวานออสติน (Austin Axe Murderer)
ฆ่าคนไป 7 ราย
ออกอาละวาดในช่วง 30 ธันวาคม 1884 – 24 ธันวาคม 1885
เท็กซัส อเมริกา
ปัจจุบันคดียังเป็นปริศนา
ออสติน (Austin) เป็นเมืองหลวงของรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเคาน์ตี้ทราวิส เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเทกซัส และเป็นอันดับที่ 16 ของประเทศ ในปี 2007 มีประชากร 743,074 คน และเป็นบ้านเกิดของ แอนดี รอดดิกยอดนักเทนนิสมือ 6 ของ โลกชาวอเมริกัน
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ออสตินจะเป็นเมืองที่ดัง หรือใหญ่โตเป็นมหานครอย่าง ซาน อันโตนิโอ ความจริงแล้วออสติน เป็นเมืองขนาดกลางๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องศิลปะ การดนตรี และความอิสระในหัวคิดสมัยใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วรัฐเท็คซัสจะเต็มไปด้วยพวกหัวอนุรักษ์นิยม แต่ออสตินนั้นกลับกัน เพราะออสตินนั้นเป็นที่ตั้งของ มหาลัยเท็กซัส ที่ซึ่งมีนักศึกษาหัวสมัยใหม่มาตั้งรกรากอยู่แบบถวาร ทำให้เมืองนี้ได้ความทันสมัยจากนักศึกษาเหล่านั้น นอกจากนี้ออสติน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เรื่องดนตรี งานนี้ ที่จัด ทุกๆ เดือน ก.ย. เป็นงานที่ใหญ่ ที่มีวงมาเล่น เป็นพันๆ วง เรียกได้ว่าดูคอนเสริตฟรีๆ กันตั้งแต่เช้าจนค่ำงานก็ไม่เลิก
นอกจากนี้ก็ยังมีที่เที่ยวเยอะแยะ คุณจะไปไหนละ Bats Underneath Congress Bridge หรือจะเป็น Elisabet Ney Museum แต่ถ้าจะดูจุดเด่นเห็นจะไม่เกิน Moonlight Towers หรือหอคอยแสงจันทร์
หอคอยแสงจันทร์ตั้งอยู่ มันเป็นหอคอยโครงเหล็กที่ออกแบบธรรมดา สูงๆ ที่ครั้งหนึ่งมันได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่างแก่พื้นที่เกือบทั้งหมดของ เมืองในเวลากลางคืน โครงสร้างนี้เป็นที่นิยมในปลายศตวรรษที่ 19 ของเมืองขนาดเล็กทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากแข็งแรงและมาตรฐาน แม้ปัจจุบันมันประโยชน์ของมันไม่ค่อยได้ใช้แล้ว แต่ก็ถือว่ามันคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองออสตินก็ว่าได้
แต่ที่เด่นไม่ใช้เพราะความสวยงาม แต่เด่นเพราะเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ฝันร้ายของเมืองออสติน” มันถูกสร้างเพราะคดีหนึ่ง คดีที่คนในยุค 1884-1885 ต่างหวาดกลัว แม้คุณอยู่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัย เพราะความตายจะมาเยือนคุณถึงที่
ความตายที่ว่านั้นคือ ฆาตกรปริศนานาม “นักถล่มสาวใช้” หรือ The Servant Girl Annihilator
ฆาตกรปริศนารายนี้ขึ้นทำเนียบฆาตกรปริศนา มันก่อกรรมทำเข็นที่เมืองออสติน ในรัฐเท็กซัส ระหว่างปี1884-1885 อเมริกา มีผู้ตกเป็นเหยื่อของมัน 7 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เป็นสาวใช้ผิวดำ ที่ตายด้วยน้ำมือของฆาตกรรายนี้อย่างอำมหิต บางรายมันถึงกลับบุกไปฆ่าถึงเตียงนอนที่บ้าน จากนั้นก็ลากมาฆ่าต่อที่ข้างนอก บางรายถูกข่มขืนยับ และบางคนร้ายกว่านั้นเพราะฆาตกรได้ใช้ขวานสับใบหน้าเหยือจนหูและหน้าเละแหลก เหลว
ในวันส่งท้ายปีเก่า ไม่รู้มันเกี่ยวข้องอะไร สงสัยมันอยากเป็นซานต้าคลอสมั้ง อยากจะแจกจ่ายความตายไปให้คนอื่นๆ เพราะ มันเริ่มต้นฆ่าเหยื่อรายแรกในช่วงนี้ เหยื่อคนแรกที่มันฆ่าคือ สาวใช้ผิวดำ นามนาง มอลลี่ สมิธเธอถูกมันทำร้ายในวันส่งท้ายปีเก่าพอดี
มีผู้ต้องสงสัยคดีนี้ หลายร้อยคน แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่ได้อะไร เหยื่อรายสุดท้ายคือหญิงผิวขาวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่ แล้วไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ มันก็หยุดฆ่าไปเลย
แปลกดีเริ่มต้นส่งท้ายปีใหม่และมาจบในวันใกล้ส่งท้ายปี ใหม่.....
มีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกร รายนี้กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์คือคนเดียวกัน แต่กระนั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานแหละไม่มีหลักฐานสักหน่อย แต่กระนั้นมันก็ถือได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ก็ว่าได้
แล้วทำไมมันถึงหยุดฆ่า มันถูกจับเหรอ เหยื่อรายสุดท้ายผิดหลักการของมันเหรอ หรือมันพอใจที่จะหยุด หรือว่า..............
เหยื่อรายแรก ปี 1884 ใน วันส่งท้ายปีเก่ามอ ลลี่ สมิธ(Mollie Smith) นิโกรสาวใช้อายุ 25 ปี คือเหยื่อรายแรกของฆากตกรในนี้
มอลลี่ สมิธเป็นสาวใช้ทำงานประจำในหอพักวิลเลี่ยม บนถนน Pecan ตะวัน ตก ในวันที่เกิดเรื่องเธอเก็บของและกำลังจะกลับจากที่ทำงาน
และในคืนนั้นเองทั้งเธอ และสามีก็ถูกฆาตกรคนนี้ทำร้าย สามีของเธอ(สามีชื่อ Walter Spencer อยู่กินด้วยกันโดยไม่จดทะเบียน)ถูกโจมตีในขณะที่เขาหลับ(คงโดนโปะยาสลบ) เขาตื่นขึ้นมาเมื่อจู่ๆ พบว่าเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนที่จะรู้ว่าเขาโดนอะไรสักอย่างที่ทำให้เกิด บาดแผลลึกยาวที่ใบหน้า ในห้องนอนเต็มไปด้วยความสับสน และเลือดกระจุดกระจายหลายจุด
มอลลี่ หายไปไหน.........
สามีของมอลลี่ รีบระดมคนมาช่วยค้นหา จนในที่สุดนายจ้างของเธอก็พบตัวเธอ
แต่เธอตายไป แล้ว.....................ศพของเธออยู่หลังที่ทำงานของเธอเอง แม้ในขณะนั้นหิมะกำลังตกโปรยปรายแต่หลายๆ คนเห็นศพของเธอชัดเจน เพราะมันเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอถูกอาวุธหนักประเภทกระบองตีจนเละ และหัวถูกขวานสับจามจนแผลฉีกเป็นทางยาวอย่างน่ากลัว แม้จะดูสยดสยองแต่หลายๆ คนก็รู้ว่าฆาตกรที่ฆ่าเธอคงจะสนุกสะใจมาก มันคงมีความสุขในการเข็นฆ่าคนที่ไม่มีทางสู้ มันจงใจลากเธอมาฆ่าที่นี้อย่างโหดเหี้ยมเสมือนหนึ่งนี้เป็นของขวัญส่งท้ายปี ใหม่
ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ ก็จั่วข่าวใหญ่โตว่า “กระหายเลือดทำงาน!!และนี้คือผล งานครั้งแรกของฆาตกรนาม “นักถล่มสาวใช้”
ในด้านการสอบสวนคดีนี้ น่าเสียดาย ในสมัยนั้นเทคโนโลยีในการตรวจสอบหลักฐานไม่ค่อยทันสมัยนั้น ไม่มีใครเสนอในการใช้ DNA ในการตรวจสอบหาฆาตกร ไม่มีทั้งการตรวจหาเส้นขนเล็กๆ ในเสื้อผ้าผู้ตาย สิ่งที่สืบสวนมีเพียงแค่สุนัขดมกลิ่นกับหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและข้อ สันนิษฐานเท่านั้นในการระบุหาฆาตกร
ท่ามกลางการสอบสวนที่ เสมือนเป็นยุคหิน นักถล่มสาวใช้ก็ได้เหยื่อรายที่ 2
รายที่ 2 วัน ที่ 6 พฤษภาคม 1885 เอลิซ่า เชลลีย์(Eliza Shelley) สาวใช้ผิวดำถูกฆาตกรฆ่า และ เธอถูกพบในมุมพื้นถนนจอห์นสัน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซอนไซ สภาพศพบ่บอกถึงความสนุกสนานของฆาตกรเหมือนรายก่อน หน้า มันคงทำร้ายเธอในตอนหลับโดยใช้ยานอนหลับแล้วลากเธอมาเล่นต่อบนพื้น ทั้งๆ ที่ใส่ชุดนอนอยู่ แล้วจับเธอกดบนพื้นแน่นและใช้อาวุธประเภทของมีคมแทงไปในหัวจน สมองเละเช่นเดียวกับอีกแผลที่บาบอกได้ว่าเธอถูก ทำร้ายด้วยขวาน จนหัวแทบแยกออกเป็นสองซีก
ในด้านการสอบสวนคดีนี้ ตำรวจพยายามเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น การใช้สุนัขดมกลิ่นเพื่อหาหลักฐาน แต่สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมคือ....ไร้หลักฐาน....ฆาตกรลอยนวล
รายที่3 เพียงสองสัปดาห์หลังจากเชลลีย์ถูกฆ่า วันที่ 23. พฤษภาคม 1885 ไอรีเน่ ครอส(Irene Cross) สาวใช้นิโกรที่อาศัยในบ้านกระต๊อบในเบียร์ การ์เด้น สาวใช้ผิวดำผู้นี้ถูกฆาตกรบุกมาฆ่าถึงกระต๊อบตอนตึก มันกระหน่ำหัวเธอจนเละด้วยมีดประหนึ่งว่ามันพยายามลบใบหน้าของเธอออก เพราะจากสภาพศพเหมือนกับว่าฆาตกรพยายามลอกหนังหัวของเธออก และแขนของเธอเกือบขาดไปจากร่าง
ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ หรือการเชื่อมโยงของฆาตกรในการฆ่าโหดรายนี้ หลายข้อสันนิษฐานถูกตั้งขึ้นราวกับดอกเห็ด ไม่ว่าจะเป็นความราคะของฆาตกร ที่ฆ่าเพราะความสนุก หรือมีความแค้นกับสาวใช้ผิวดำ หรือปัญหาวัยเด็กของฆาตกร
รายที่ 4 ในเดือนสิงหาคม แมรี่ รามี่(Mary Ramey) อายุ 11 ปี และแม่ของเธอ รี เบคก้า รามี่ (Rebecca Ramey) ถูกฆาตกรปริศนาทำร้าย รีเบคก้ารอดชีวิตมาได้ ส่วนลูกของเธอตายคาที่
หลังฆาตกรรายนี้ออก อาละวาด เจ้าหน้าที่ถูกเกณฑ์มาประจำตำแหน่งในเมืองออสตินเพิ่มขึ้นเพื่อตรวจตราเมือง นี้ยามค่ำคืน มีการนำเสนอรางวัลหาเบาะแสเพื่อนำจับ แม้กระทั้งร้านขายเหล้าถูกบังคับให้ปิดที่เที่ยงคืน แต่ดูเหมือนกลับว่ายิ่งเข้มงวดฆาตกรก็ยิ่งบ้าเลือดยิ่งขึ้น..........
รายที่ 5 และ 6 ลูซินด้า บอดดี้(Lucinda Boddy) เป็นแม่ครัวผิวดำทำอาหารบ้านของทนายความ (W d Dunham) ที่ซึ่งตั้งใกล้มหาลัย ที่นี้นอกจากเธอแล้วก็ยังมีเพื่อนอีก 3 คนคือกราเซีย ฟานซ์(Gracie Vance) และสามีออเร้นจ์ วอชิงตัน (Orange Washington) และคนใช้ร่วมงานอีกคนคือ แพทซี่ กิ๊บสัน(Patsie Gibson) ทั้งหมดอาศัยบนเรือนคนใช้หลังบ้าน
ใน 26 เดือนกันยายน เวลา 24:00น ค่ำคืนวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความเงียบสงบ สมาชิกในบ้านทนายความต่างหลับใหล ไม่มีสิ่งใดๆ ที่เตือนถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
แต่แล้วมันก็ เกิด.......กราเซีย ฟานซ์ตื่นมาเป็นคนแรก และส่งเสียงกริ๊ดเมื่อพบว่ามีใครบางคนจับเธอเพื่อหวังข่มขื่น เธอลุกขึ้นบนเตียงพยายามต่อสู้กับผู้มาเยือนที่หวังร้ายอย่างสุดฤทธิ์ แต่เธอก็โดนตอบโต้ด้วยขวานที่ถูกตบมายังหัวของเธอ ผู้บุกรุกใช้ขวานนั้นสับหัวเธออย่างรุนแรง จนกะโหลกศีรษะของเธอแยก ขวานจมไปยังถึงสมองของเธอ กราเซีย ฟานซ์ ตายคาที่
จากนั้นผู้บุกรุกผู้นี้ ก็ทำร้ายสมาชิกคนอื่นๆ ในเรือนคนใช้แพทซี่ กิ๊บสันถูกตีที่กะโหลกศีรษะ และหน้า โดยกระบองและขวานแต่ก็มีชีวิตมาได้ จากนั้นมันก็มาบุกเข้าไปทำร้าย ลูซินด้า และ ออเร้นจ์ โดนขวานสับ ส่วนทางด้าน ลูซิ นด้า คืนสติขึ้นจากเตียงนอนและพยายามต่อสู้ เหมือนกราเซีย เธอด่าทั้งตบผู้มาเยือนอย่างรุนแรง และไม่รู้ทำไมแทนที่ฆาตรผู้บุกรุกจะโกรธจัดมันกลับถอยหรัอย่างไม่น่าเชื่อ
คนใช้ทั้งสี่คนถูกส่งไป โรงพยาบาลทันที ในค่ำคืนนั้น ลูซินด้า บอดดี้และ แพทซี่ กิ๊บสันรอดจากความตายครั้งนี้อย่างหวุดหวิด กราเซีย ฟานซ์ตายคาที่ ส่วนออเร้นจ์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เขาเสียชีวิตในวันถัดมา
1 ปี เกือบ 1 ปี ที่เจ้านักถล่มสาวใช้ออกอาละวาดไปทั่วออสติน ซึ่งโดยปกตินิสัยฆาตกรต่อเนื่องมันจะฆ่าคนไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะถูกจับ แต่แล้วเมื่อวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่เดือนธันวาคม หลังจากมันฆ่าเหยื่อรายที่ 6 และ 7 ในคืนเดียว ที่เป็นคนผิวขาวแล้ว จู่ๆ มันก็หยุดฆ่าและหายสาปสูญไม่กลับมาอีกเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
เหยื่อ ที่ 6 และ 7 คราวนี้ฆาตกรฆาตกรฆ่าเหยื่อไป 2 รายในคืนเดียว แถมเป็นวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่อีก รายที่ 6 คือ ชู แฮนค็อก(Sue Hancock) สามีตื่นขึ้นมาพบเธอที่สนามหลังบ้าน เธอคงถูกดึงขึ้นจากเตียงในขณะที่เขากำลังงีบหลับบนเก้าอี้ สภาพของเธอเลือดท่วม ที่หัวกะโหลกถูกโจมตีด้วยขวานและกระบองอย่างรุนแรง หัวของเธอถูกผ่าเปิด แต่เธอไม่ตายในทันที ยังคงเหลือสติก่อนที่จะตายในเวลาต่อมา
ในอีก ชั่วโมงต่อมา ฆาตกรรายนี้ก็ผิดหลักการของมันเพราะมันบุกจู่โจมคู่สามีภรรยาฟิลลิปส์ ซึ่งทั้งสองไม่ใช้คนใช้ และไม่ใช้คนดำ เพียงแต่วิธีการของมันก็เหมือนกับเหยื่อรายก่อนๆ คือ ยูล่า (Eula Phillips) ภรรยาของ จิมมี่ ฟิลลิปส์ ถูกทำลายด้วยขวานที่ศีรษะจนตายขณะนอนหลับ และฆาตกรลากเธอไปฆ่าใกล้ซอยใกล้บ้านของพ่อตาของเธอ และคดีนี้มีอะไรต่างจากคดีอื่นตรงที่ฆาตกรได้ทิ้งรอยเท้าที่พื้น........(ในคดีของยูล่า เจ้าหน้าที่สงสัย จิมมี่ ฟิลลิปส์ ว่าอาจอาศัยความมั่นนิ่มฆ่าภรรยาของตนเอง)
และจากนั้น “นักฆ่าสาวใช้” ก็หายไปจากเมืองออสติน ไม่มีรายงานการออกอาละวาดของฆาตกรรายนี้เลยตลอดกาล
แม้ฆาตกรจะจากไปแล้ว และการสอบสวนก็ล้มเหลวไม่มีใครสามารถจับตัวการของคดีนี้ได ทำให้สันนิษฐานกันว่า บางที่ฆาตกรอาจจะเป็นเกี่ยวข้องนักการเมืองในห้องถิ่นที่มีอำนาจวาสนาที่จะ ปิดปากตำรวจก็ว่าได้ และมีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกรราย นี้กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์คือคนเดียวกัน ว่ากันว่าหลังจากนักถล่มสาวใช้ฆ่าคนที่เมืองออสตินจนพอใจแล้วมันก็ได้ เปลี่ยนที่ทำการใหม่ไปที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำการฆ่าโสเภณี 5-7 ราย และหลายคนเรียกมันว่า “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ซึ่งสิ่งที่เชื่อมโยงคือลักษณะการฆ่าของมันที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนากับบาด แผลของเหยื่อแสดงให้เห็นว่า “นักถล่มสาวใช้”กับ “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” คือคนๆ คนเดียวกัน แต่ก็นั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่พูดปากตาปากในวงเหล้าเท่านั้น
หลังเกิดคดีนี้ขึ้นก็ได้เริ่มมีการสร้าง Moonlight Towers ไว้ตรงกลางเมือง เพื่อให้เส้นทางเดินสว่างขึ้น(ปัจจุบัน มันเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองออสตินโดยบริยาย)
ปัจจุบัน มีบริการทัวร์ฆาตกรรมสถานที่ “นักถล่มสาวใช้” ก่อกรรมทำเข็นตามที่ต่างๆ จัดขึ้นเดือนละครั้ง เป็นเวลา 90 นาทีและมีการแสดงละคร ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ใครสนใจลองติดต่อสอบเพื่อตรวจสอบกำหนดการที่ www.austinghosttours.com และทำการจองหรือซื้อตัวที่ถึง ที่ออสตินก็ได้
นอกจากนี้เรื่องราวของฆาตกรรายนี้ถูกนำไปแต่งนิยายเหมือนกัน เขียนโดย สตีเว่น เซย์เลอร์ (Steven Saylor) เรื่อง A Twist at the End ตีพิมพ์ ในปี 2000 ใครสนใจก็ลอง หาตามเว็บต่างๆ ดูนะครับ
แปลและดัดแปลงจาก http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/history/servant_girl/index.html+ +
ขอขอบคุณทุกบทความดีๆมี สาระจากคุณ..CamMy...จากเว็ป..DekDee..มากๆ