วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หม่อมลูกปลา ตำนานรักแห่งวังอัศวิน

หม่อมลูกปลา ตำนานรักแห่งวังอัศวิน


นี้ คือหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เฉพาะความซับซ้อนของคดีหรือความเป็นปริศนาของคดีเท่า นั้น แต่เกี่ยวพันกับฉากชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชีวิตเหมือนเทพธิดาบนดิน คือจากผู้หญิงต่ำต้อยได้กลายเป็นหญิงสูงศักดิ์ แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันเพราะคดีนั้นแท้ๆ ที่ทำให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์คนนั้นกลายเป็นหญิงต่ำต้อยอีกครั้ง แต่คราวนี้หนักหนากว่าเดิมเพราะหญิงคนนั้นไม่มีเงินสักแดงเดียวและมรสุม ชีวิตพัดเข้ามาหาเธอไม่หยุดไม่หย่อน.............


ผมเชื่อว่าหลาย คนอาจเคยเห็นภาพของนางชลาศัย ขวัญฐิติ หรือหม่อมลูกปลาร่ำไห้ในรายการที่เชิญเธอมาสัมภาษณ์ เมื่อเธอพูดถึงชีวิตประสบกับมรสุมของเธอหลังจากเสียชีวิตหม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคลหรือท่านชายกบ แห่งวังอัศวิน


นางชลาศัย ขวัญฐิติ หรือหม่อมลูกปลา เป็นอดีตชายาของหม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือท่านชายกบ แห่งวังอัศวิน โด่งดังเป็นข่าวหน้าหนึ่งปรากฏทางหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง จากภาพที่เธอถูกมองว่าเป็นเจ้าหญิงผู้โชคดี ต่อมาชีวิตของเธอหักเหอย่างสุดๆ เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาคดีวางยาพิษในกาแฟสังหารหม่อมเจ้าฐิติพันธ์จนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 1995 ต่อมาศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง หลังจากที่ต้องเป็นจำเลยเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี


แม้ เธอจะรอดจากการเป็นจำเลย แต่ชีวิตของเธอก็ไม่มีความสุขนัก เธอต้องประสบกับมรสุมต่างๆ ต้องย้ายที่อยู่มาแล้วหลายครั้ง การเริ่มต้นชีวิตคู่ที่น่าจะไปได้ด้วยดีแต่กลับแตกร้าว ปัญหาด้านการเงินขัดสน ถึงขั้นเคยคิดถึงขนาดจะฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน แต่เป็นเพราะอะไรจนบัดนี้เธอยังสู้ต่อไป


หม่อมลูกปลา


ชีวิตของหม่อมลูกปลาในช่วงแรกเริ่มต้นไม่สวยนัก ชื่อแรกเกิดคือ ด.ญ.นิภาพร แม่เป็นคนจังหวัดอุบลส่วนส่วนพ่อไม่รู้ว่าเป็นใคร เกิดมาแล้วแม่ก็ทิ้งไว้ที่ร.พ.จุฬาฯ จนเป็นเด็ก กำพร้าโดยบริยาย


แต่ความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้างเมื่อ หม่อมเจ้ารังษีนภดล ยุคล น้องสาวของ"ท่านกบ" ต้องการจะรับเด็กหญิงสักคน มาเลี้ยงไว้ในความอุปการะ จึงได้เดินทางไปรับ ด.ญ.นิภาพร ในวัย 2 เดือน ที่รพ.จุฬาฯ ซึ่งโชคชะตาได้ลิขิตให้เธอถูกเลือกเข้าสู่วังอัศวิน


ดัง นั้นเมื่อหม่อมลูกปลาลืมตาบนโลกขึ้นมาเธอก็เห็นวังอัศวินซึ่งอยู่บริเวณแยก ตึกชัยแล้ว


เมื่อด.ญ.นิภาพร มีอายุได้ 4 ขวบ ธอก็อยู่ในความดูแลของ"ท่านกบ" ชีวิตในช่วงแรกไม่ต่างอะไรกับ "เด็กรับใช้" ต้องทำหน้าที่ต้องคอยรับใช้ "หม่อมสร้อยระย้า" หม่อมแม่ของ"ท่านกบ" คอยบีบนวด ถือกระเป๋าและอ่านหนังสือพิมพ์ให้และเป็นพี่เลี้ยงดูแลลูกของ"ท่านกบ"ทั้ง 3 คน มาจนโต


ความที่เป็นเด็กคล่องแคล่ว ชาญฉลาดรู้ใจ "ท่านกบ"ดีกว่าใครอื่น ในที่สุด ด.ญ.นิภาพร ก็สามารถชนะใจ"ท่านกบ" จนได้รับความไว้วางใจและได้ขยับฐานะจาก ด.ญ.นิภาพร รอดอ่อน กลายเป็น "หม่อมลูกปลา" หรือ "นางชลาศัย ขวัญฐิติ" ในเวลาต่อมา


นามสกุล "ขวัญฐิติ" มีที่มาจากการแสดงถึงความรักที่"ท่านกบ"มีต่อ"ด.ญ.นิภาพร" - "ขวัญ" คือ ขวัญใจ หรือเป็นที่รัก "ฐิติ" ย่อมาจากชื่อของท่านกบ คือ ฐิติพันธ์ สรุปความได้ว่า "เป็นที่รักของฐิติพันธ์"


แต่ ก่อนจะได้ชื่อ นางชลาศัย ขวัญฐิติ นั้นหม่อมลูกปลาต้องตกเป็นชายาลับของท่านชายกบเมื่ออายุได้ 12 ปี แต่ยังคงเรียกท่านชายกบว่าพ่อ เพราะไม่มีความรักแบบชายหญิง และกระทำเพื่อทดแทนบุญคุณ ซึ่งท่านชายกบมีหม่อมอยู่แล้ว 2 คน ชีวิตของเธอก็น่าจะมีความสุขสบายขึ้นแต่ก็เหมือนเดิมเคยทำอย่างไรก็ทำอย่าง นั้นเป็นเหมือนเด็กในบ้านที่ต้องคอยทำงานบ้านทำความสะอาดบ้าน เหมือนกับหม่อมคนอื่นๆ และต้องคอยช่วยถือกระเป๋าให้เวลาที่ออกงานสังคม และที่ต้องทำงานบ้านเองเพราะท่านชายกบเป็นคนเจ้าอารมณ์ จึงไม่มีคนรับใช้คนไหนทนได้ แต่สำหรับหม่อมลูกปลาถือเป็นเรื่องปกติ เพราะยังคงได้ไปโรงเรียนและออกงานสังคมกับท่านชาย จนกระทั่งช่วงวัยรุ่นจึงเริ่มมีหนีเที่ยว เพราะรู้สึกไม่สนุกเวลาอยู่ในสังคมของคนที่มีอายุมากกว่า


จน กระทั่งปี1994 หม่อมลูกปลาย่างเข้าวัยสาว "ท่านกบ" ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ หวังมัดใจให้หม่อมลูกปลาเป็นของท่านชั่วชีวิต โดยประกาศความเป็นเจ้าของด้วยการจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 1994จาก นั้นไม่กี่เดือนก็มีพิธีแต่งงานอย่างหรูหราในโรงแรมสุดหรู ท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย สร้างความฮือฮาสั่นสะเทือนแวดวงไฮโซยิ่งกว่าครั้งใด!


สำหรับสาเหตุการแต่งงานนั้น หม่อมลูกปลากล่าวว่า เป็นเพราะท่านชายกบอยาก เอาชนะตน ไม่ต้องการให้หนีเที่ยว ส่วนตนก็ต้องการเอาชนะหม่อมคนอื่นๆ ที่ตราหน้าตนว่ามัวแต่หนีเที่ยว ระวังจะไม่ได้สมบัติอะไรเลย การแต่งงานครั้งนั้นจึงไม่ได้เกิดจากความรัก


หม่อมลูกปลายัง คงหนีเที่ยวเพราะตนรู้สึกเบื่อ ไม่สนุกเวลาไปงานกับท่านชาย และคิดว่าเป็นเรื่องวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็นในสถานที่ซึ่งท่านไม่เคยพาไป เธอมักแอบหนีไปเที่ยว แม้จะรู้ว่าเมื่อกลับมาจะโดนทำโทษ แต่ก็ยังคงหนีเที่ยวอยู่ เพราะเมื่อได้ไปเที่ยวแล้วรู้สึกเป็นอิสระ สบายใจ ตั้งแต่เล็กจนย่างเข้าสู่วัยสาว"หม่อมลูกปลา" ถูกเลี้ยงดูอุปถัมภ์ดั่งเช่น "นกน้อยในกรงทอง" ไม่เคยสัมผัสชีวิตโลกภายนอก ทั้งที่"พื้นเพชีวิตเดิมของ"หม่อมลูกปลา"ในวันนี้ ก็คือด.ญ.นิภาพร รอดอ่อน เด็กกำพร้าในอดีตนั่นเอง


ขณะที่"ท่าน กบ" เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา จะช่วยพลิกฟื้นชีวิตใหม่ให้กับ"หม่อมลูกปลา" จึงให้สิทธิพิเศษในการเล่นวิทยุสมัครเล่นที่"ท่านกบ"โปรดปราน จึงเป็นใบเบิกทางให้"หม่อมลูกปลา" รู้จักกับโลกภายนอกเป็นครั้งแรก หลังจากเป็น "นกน้อยในกรงทอง" มานาน


แต่แล้วโชคชะตาได้ลิขิตให้"หม่อมลูกปลา"ไปพบกับชายหนุ่มที่ชื่อ "อุเทศ ชุปวา" ที่ขายเกาลัดอยู่ย่านสยามสแควร์ ที่หม่อมลูกปลาไปเที่ยวกับเพื่อนประมาณ 4-5 คน และโชคชะตาชีวิตรักถูกลิขิต หนุนให้เจอกับคนสามัญชนธรรมดาด้วยกัน ซึ่งเมื่อคุยกันถูกคอ ทั้งคู่จึงชวนกันไปดูหนัง จากนั้นความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นขึ้นเป็นลำดับ ทั้งคู่นัดไปเที่ยวกันอีกหลายครั้ง กระทั่งวันที่ไปเที่ยวหัวหิน "หม่อมลูกปลา" จึงตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดให้"ท่านกบ"รับรู้ ซึ่งก็ได้รับการอนุญาตให้"อุเทศ ชุปวา"เข้าวังได้ในฐานะเพื่อนสนิท จนกระทั่ง"ท่านกบ"ทราบถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาว จึงสั่งห้ามหนุ่ม"อุเทศ" ไม่ให้เข้าวังอีกต่อไป "ปัญหารักสามเส้า" จึงเริ่มขึ้นที่วังอัศวิน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


แม้ภายหลัง"หม่อมลูกปลา"เริ่มหนีไปเที่ยวบ่อยครั้งขึ้น หนักเข้าก็ไม่ยอมกลับบ้าน แต่ด้วยอานุภาพแห่งรัก"ท่านกบ"ก็ตามกลับมาได้ทุกครั้ง!?


จนกระทั่งวันที่ 21 ส.ค. 1995 ตำนานนิยายรักแห่งวังอัศวิน จึงเกิดขึ้น เมื่อ หม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือ "ท่านกบ" เกิดล้มป่วยกะทันหันทั้งๆ ที่มีสุขภาพแข็งแรงมาก "หม่อมลูกปลา" ซึ่งพบ"ท่านกบ"นอนป่วยเป็นคนแรกระบุว่า วันเกิดเหตุพบท่านกบนอนแน่นิ่งกับพื้น มีน้ำมูกและปัสสาวะไหลเปรอะ เนื้อตัวเขียวซีด จึงเรียกรถพยาบาลมารับไปรักษาตัว ขณะนั้นท่านกบไม่รู้สึกตัว อยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรา หลังจากนั้นอีก 9 วัน"ท่านกบ" ก็สิ้นชีพิตักษัย จึงเป็นการปิดฉากตำนานรักต่างวัย-ต่างชนชั้นไปตลอดกาล!!


แต่ สำหรับละครชีวิตของ"หม่อมลูกปลา" เพิ่งเริ่มขึ้นเพราะเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่า เป็นคนวางยาพิษท่านกบ เนื่องจากรายงานวิจัยของแพทย์พบว่าในกระเพาะอาหารของ"ท่านกบ" มีสารคาร์บอนเนตซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการสิ้นชีพิตักษัย


"หม่อมลูกปลา" จึงต้องระหกกระเหินไปอาศัยอยู่กับบ้านพระญาติของท่านกบที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อหลบกระแสที่ถาโถมเข้าใส่เธอ โดยที่"หม่อมลูกปลา" ไม่ระแคะระคายเลยว่า อีกไม่นานเธอกำลังตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน


ขณะ ที่ชุดสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สันนิษฐานปมการสิ้นชีพิตักษัยของท่านกบ ไว้ 2 ประเด็น คือ การฆาตกรรมโดยหม่อมลูกปลา เพราะต้องการตีจากท่านกบ และท่านกบน้อยใจหม่อมลูกปลา จนคิดฆ่าตัวตายเพื่อประชด !


เวลาล่วงไปเกือบสองปี ชุดสืบสวนได้ตัดประเด็นที่สองออกไป เหลือเพียงการฆาตรกรรม จนกระทั่งวันที่ 17 ก.ค. 2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญ"หม่อมลูกปลา"มาเข้าเครื่องจับเท็จ โดยเริ่มป้อนคำถามเริ่มตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็กกระทั่งกลายเป็นหม่อมของ"ท่าน กบ"


ในการเข้าเครื่องจับเท็จครั้งนั้น เวลาได้ผ่านไปกว่า 6 ชั่วโมง"หม่อมลูกปลา"เริ่มมีความกดดัน จนกระทั่งมาถึงคำถามหมัดเด็ด "ใครชงกาแฟ"..."ใครฆ่าท่านกบ" ??


และ"หม่อมลูกปลา"ก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นคน "วางยาฆ่าท่านกบ" โดยใช้ยาฆ่าเห็บผสมในกาแฟ แต่ไม่หวังให้ถึงตาย แค่ให้ช็อก-สลบชั่วครู่ เพื่อหวังจะหนีไปเที่ยวอีกเท่านั้น หลังจากนั้น"หม่อมลูกปลา" จึงต้องตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรม


คดีนี้จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในคดีคลาสสิกและคดีประวัติศาสตร์ประจำ ศาลอาญา นอกจากโจทก์และจำเลยเกี่ยวพันเป็นราชสกุลดัง มูลเหตุและพฤติการณ์แห่งคดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงมากกว่าละครชีวิต


ผู้ ต้องสงสัยคือหม่อมลูกปลาตอนนั้นอายุ 30 เธอถูกจับกุมและส่งฟ้องศาลฐานฆ่าสามีโดยเหตุผลคือต่องการหนีออกจากวังเพื่อ พบ อุเทศ ชุปวา ชายขายเกาลัด คนรักใหม่ คดีนี้ตำรวจสอบปากคำโดยนำหม่อมลูกปลาเข้าเครื่องจับเท็จจนรับสารภาพ แต่เมื่อคดีถึงชั้นศาลอาญาเธอกลับให้การ ปฏิเสธช่วง 10 ปีหลังเกิดเหตุคดีหม่อมลูกปลาถูกพิจารณาใน 2 ชั้นศาล ผลการตัดสินพลิกไปพลิกมา จนกระทั้วเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 ศาลอาญาตัดสินคดีฆ่าท่านกบเป็นคดีแดง 485/45


คำตัดสินอาญา เชื่อว่าหม่อมลูกปลาลงมือนำยาฆ่าแมลงใส่กาแฟให้ท่านกบดื่ม แต่ไม่มีเจตนาให้ถึงแก่ชีวิต โดนทำเพื่อให้ป่วย เธอจะได้หลบหนีไปหาคนรักได้สะดวก แต่ปริมาณยาที่ใช้เกิดฤทธิ์ร้ายแรงจนนำไปสู่การสิ้นชีพิตักษัย ศาลอาญาจึงพิพากษาลงโทษหม่อมลูกปลาฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ตามกฎหมายอาญามาตราที่ 290 จำคุก 9 ปี แต่เนื่องจากรับสารภาพเหลือจำคุก 6 ปี


ต่อมาหม่อมลูกปลา ได้รับการช่วยเหลือตากทนายเสรี สุวรรณ ภารรท์ อดีต สว. กรุงเทพมหานคร ยื่นอุทธรณณ์ต่อศาลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2000 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำคำพิพากษาศาลอาญาเป็นยกฟ้องหม่อมลูกปลา...!!????


การต่อสู้ชั้นศาลอุทธรณ์ ฝ่ายหม่อมลูกปลานำประเด็นกองมรดก ที่ท่านกบจะแก้ไขพินับกรรมเพื่อเพิ่มหม่อมลูกปลาในฐานะชายาจดทะเบียน สมรสร่วมมรดกกับโอรสและธิดาก็ถือกำเนิดกับอดีตชายา 2 องค์ก่อนด้วย ซึ่งหม่อมลูกปลาสู้ว่าในวันเกิดเหตุตัวละครเหล่านี้ก็อยู่ใกล้ชิดกับท่านกบ เช่นเดียวกับเธอ ทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียกับกองมรดกหากท่านกบสิ้นชีพตักษัยและเมื่อไม่ปรากฏ พยานว่าหม่อมลูกปลาใส่ยาในถ้วยกาแฟจริง การรับฟังพยานแวดล้อมแล้วลงโทษของศาลอาญาจึงไม่น่ารับฟังได้ ส่งผลให้มีการยกฟ้องในที่สุด


หลังจากท่านชายกบเสียชีวิตหม่อมลูกปลาได้รู้ความจริงว่ารถเฟอร์ รารี่ ปอร์เช่ และแหวนเพชรโบราณที่หาค่าไม่ได้นั้น ท่านชายกบสัญญาไว้ว่าเมื่อท่านสิ้นก็ถูกยึดเป็นมรดกของกองกลาง โดยได้รับเป็นเงินสด 3 แสนบาทที่ท่านให้ไว้เพื่อจะไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน และอีก 4หมื่น บาท เพื่อเตรียมไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟของวังอัศวิน แต่กลายเป็นว่าเธอไม่ได้มาดกดั่งกล่าวเลย แถมโดนสาปส่งออกจากวังอีก ตอนออกมาก็มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้า เพราะในพินัยกรรมระบุแค่ว่ายกให้ลูกท่านกบทั้งหมด


ต่อมาหม่อมลูก ปลาได้เปลี่ยนชื่อแซ่จากนางชลาศัย ขวัญฐิติ มาเป็น นางคูณมาศ ขวัญฐิติ มีลูกด้วยกันกับ อุเทศ ชุปวา สองคนคือ ด.ช.อนุพันธุ์ ชุปวา หรือออกัส และ ด.ช.อัศวิน ขวัญฐิติ และเริ่มชิวิตที่ลำบากต้องดิ้นรนต่อสู้ ทำมาหากิน เคยไปทำงานที่ร้านตัดผมแต่ได้เงินไม่มาก จึงออกมาขายไก่ย่าง 5 ดาวกับสามี ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ ถนนพระราม 6 ขายอยู่ประมาณ 2 ปี ได้กำไรวันละประมาณ 100-300 บาท แต่ต้องจ่ายค่าเช่าที่เดือนละ 6,000 บาท ก็พอกินพอใช้ ส่วนสามีอาศัยบ้านญาติอยู่ใกล้ที่ทำงาน วันหยุดก็กลับมาหาหม่อมลูกปลาและลูกที่บ้านหรือบางครั้งหม่อมลูกปลาและลูกจะ ไปหาเอง และวางแผนไว้จะขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านเพื่อช่วยสามี ซึ่งคิดว่าเท่านี้คงอยู่กันได้อย่างมีความสุข เพราะเงินไม่ได้ใช้อะไรมากมายแค่วันละ 200-300 บาท พอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ 4 คนพ่อแม่ลูก


แต่แผนทุกอย่าง ที่วางไว้อย่างดีต้องมาพังทลายเมื่อสามีโทรศัพท์มาบอกว่าถูกตำรวจจับในข้อหา มั่วสุม ในคดีเสพยาบ้า!



ต้อง ยอมรับว่าเรื่องสามีถูกตำรวจจับก็เป็นเรื่องที่พอทน แต่สิ่งที่รับไม่ได้ในเวลาต่อมาคือเธอทราบว่าสามีเธอแอบไปมีกิ๊กใหม่อีกราย !


ส่ง ผลให้หม่อมลูกปลาอย่าขาดกับนายอุเทศในที่สุด


แต่แล้วปัญหาก็ ตามมาอีกไม่หมด เมื่อสุขภาพของหม่อมลูกปลา ที่เริ่มแย่ลงเช่นกัน เพราะหม่อมลูกปลาเป็นโรคภูมิแพ้ มีอาการหายใจหอบมาก ขึ้น และปวดหัวบ่อยครั้ง จนกระทั่งได้รู้จักกับคุณไพโรจน์.....และได้รับคำแนะนำให้รับประทานอาหาร เสริมจนอาการหอบทุเลาลงและดีขึ้น หม่อมลูกปลายังได้รับคำแนะนำแนวทางต่างๆ ในการดำเนินชีวิต อีกทั้งการช่วยเหลือจากคุณไพโรจน์ โดย ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ


หม่อมลูกปลาเปิดเผยว่า ชีวิตที่ผ่านถึงแม้จะประสบกับมรสุมใดๆ ก็จะมีผู้ช่วยเหลือตลอด นับเป็นความโชคดี โดยเฉพาะได้รับความช่วยเหลือจากจากคนในวังอัศวินหลายคน และยังได้รับความเมตตาจากบุคคลอื่นๆ อีกหลายท่านทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก


ปัจจุบัน นี้ หม่อมลูกปลา ได้เปิดร้านเสริมสวยเล็กๆ อยู่ที่บ้านในหมู่บ้านราชพฤกษ์ รังสิตคลอง 3 เป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ ขนาด 18 ตารางวา ซึ่ง ม.ร.ว.นิภานพดารา ยุคล และม.ร.ว.จุลรังษี ยุคล ลูกของท่านชายกบซื้อให้ โดยมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านร่วมกับตน ซึ่งท่านระบุว่าห้ามขาย ให้ใช้อยู่อาศัยเท่านั้น


แม้หม่อมลูกปลา จะจบการศึกษาเพียง ม.6 แต่เธอก็ยังใฝ่หาความรู้โดยไปเรียนเสริมสวยจนจบหลักสูตร ทำให้เธอสามารถค้นพบอาชีพที่เธอคิดว่าจะทำต่อไปและคาดหวังไว้ว่าอยากจะมี เงินสักก้อนหนึ่งพอจะซื้อที่ดินสักแปลงแถวต่างจังหวัดภาคอีสาน และปลูกบ้านหลังเล็กเปิดร้านเสริมสวยเลี้ยงลูกแบบพอมีพอกินก็เพียงพอแล้ว


...และเรื่องราวชีวิตของ หม่อมลูกปลาจะดำเนินต่อไปอย่างไร...ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวเธอเอง

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=muforensic&month=03-2010&date=21&group=10&gblog=30

3 ความคิดเห็น:

  1. ชีวิตต้องสู่นะคะ!!!!...ยังโชคดีนะที่หม่อมฯ ลูกของท่านกบยังมีใจเมตตาซื้อบ้านให้น่ะ...

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ17 สิงหาคม 2555 เวลา 21:00

    ฆ่าพ่อเค้าแล้วลูกเค้ายังหาบ้านให้อยู่ถือว่าลูกเค้าเป็นคนที่ดีมากมาก ถ้าเปงฉันไม่มีวันให้อภัยคุนแน่ๆคนไม่รู้จักบุณคุณคน

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ21 มกราคม 2556 เวลา 23:20

    คนไม่ดี ไม่สมควรที่จะเรียกว่าคนด้วยซ้ำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาปกรรม เวลาทำไม่คิด ว่าทำไม่ดีแล้ว ผลจะตามมาแบบไหน ชีวิตสุข สบาย แล้วก็ลืมความลำบาก ไม่รู้จักยับยั้ง ชั่งใจตนเอง นี่ละหนามนุษย์

    ตอบลบ

อารายเหรอ