ผลการศึกษาทางการ แพทย์สองชิ้นที่มีการตีพิมพ์เร็วๆนี้ แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง อันเนื่องจาการใช้ CT scan ซึ่งมีใช้อย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ปัจจุบัน น่าจะมีมากกว่า ที่วงการแพทย์เคยเชื่อกัน ผลการศึกษา นี้ สนับสนุนข้อห่วงกังวลต่อการใช้ CT scans มากเกินจำเป็น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์อื่นๆซึ่งต้องใช้รังสี (radiation)
การทำCT scan (computerized tomography scan) สามารถตรวจหาร่องรอยการบาดเจ็บ หรือ ชิ้นเนื้องอกได้ การใช้อุปกรณ์การ แพทย์นี้ เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัวในสหรัฐฯ เป็นประมาณ 70 ล้านครั้งในปี 2007 (ดูกราฟประกอบ) แม้จะเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ว่ารังสีจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็ง แต่ความเสี่ยงของการใช้ CT scan (ซึ่งต้องใช้รังสี) ยังไม่เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจน
ผลการศึกษาชิ้นแรก ซึ่งตรวจสอบผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 4,000 คนใน สี่โรงพยาบาล คาดการณ์ว่า การได้รับรังสี ในขนาดที่ต้องใช้เพื่อทำสแกนหัวใจหนึ่งครั้ง ในวัยประมาณ 40 ปี ทำให้มีความเสี่ยง ของการเป็นมะเร็ง1ใน 270 (ในกรณีผู้หญิง) และ 1ใน 600 (ในกรณีผู้ชาย) ความเสี่ยงสำหรับการสแกนศรีษะจะลดลง คือทำให้เกิดความเสี่ยงของมะเร็ง ที่ 1ใน 8,100 (กรณีผู้หญิง) และ1 11,080 (ในกรณีผู้ชาย) ปริมาณรังสีที่ผู้รับการตรวจได้รับ ก็มีความแตกต่างกันได้มาก แม้เป็นการสแกนในตำแหน่งเดียวกัน ในโรงพยาบาลเดียวกัน ความแตกต่างดังกล่าว น่าจะมาจาก การยังไม่มีมาตรฐานในการตั้งค่า และ วิธีการใช้งานอุปกรณ์ซึ่งอาจแตกต่างกัน
ผลการศึกษาชุดที่สอง วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ และประมาณว่า จะมีกรณีการเกิดมะเร็ง 29,000 รายในอนาคต ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำ CT scan ในปี 2007 ทั้งนี้ มะเร็งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในบริเวณช่องท้อง และเชิงกราน ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง จะมีสูงขึ้นในคนไข้ที่อ่อนวัยกว่า เป็นต้นว่า เด็กผู้หญิงซึ่งรับการสแกนช่องท้องขณะอายุ 3ขวบ จะมีความเสี่ยง 1 ใน 500 ที่จะเกิดมะเร็งอันเนื่องจากรังสีของการสแกน ความเสี่ยงนี้ ลดลงเหลือ 1 ใน1,000 เมื่ออายุที่ 30ปี และ เป็น 1 ใน3,333 เมื่ออายุ 70 ปี
“อย่างไรก็ตาม การทำ CT scans ยังอำนวยประโยชน์มหาศาลทางการแพทย์ ดังนั้น ในแต่ละกรณี หากการสแกนมีเหตุผลที่เหมาะสม ประโยชน์ที่ได้ ยังมีมากกว่าความเสี่ยง” ดร. เอมี เบอริงตัน นักวิจัย แห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผู้มีส่วนร่วม ในการวิจัยทั้งสองชิ้นให้ความเห็น
อ้างอิงจาก บทความ CT Scans Linked to Cancer ของ The Wall Street Journal
http://online.wsj.com/article/SB126082398582691047.html