วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คู่รักคู่สร้างแต่ปาง ก่อน

คู่รักคู่สร้างแต่ปางก่อน

"เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาสที่ประสาทความรักภิรมย์"
"รอคอยเธอมาแสนนานทรมาน วิญญาณหนักหนา..."

เสียงเพลงเกี่ยวกับความรักใคร่ช่างมีความอ่อนหวาน ไพเราะ ลึกซึ้งกินใจสำหรับคนที่ยังมีหัวใจรัก ทำให้อดไม่ได้ที่จะนำเสนอบทความ เกี่ยวกับเรื่อง คู่ครอง ความรัก การแต่งงาน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อ ให้เข้ากับบรรยากาศ "วันแห่งความรัก" (Valentine's Day) มายังท่านผู้ อ่าน ที่ติดตามมาตลอด ซึ่งเรื่องของหัวใจ ความรัก และคู่ครอง นั้น จัดได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งใน การดำเนินชีวิตทางโลกทีเดียว คนใดได้คู่ดี เป็นคู่บุญบารมี กันมาแต่ชาติปางก่อน ก็นับว่าเป็น โชคหากคนใดโชคร้าย หรือ อาภัพคู่ ไปได้คู่ที่ก่อเวร สร้างกรรมที่ไม่ดีร่วมกันมา ก็จะพาให้ชีวิตพบกับ ความอับเฉา มืดมน ทะเลาะวิวาท หาความสุขสงบไม่ได้ จนกว่าจะตายจากหรือเลิกราหย่าร้างกันไป

การที่คนเราจะมีวาสนาได้มาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอน เป็น "เนื้อคู่" "หนังคู่" "กระดูกคู่" ได้นั้นขึ้นอยู่กับกรรมที่บุคคลทั้งสองสร้างสมร่วมกันมา อาจจะมากกว่าหนึ่งภพหนึ่งชาติ บางคู่อาจสร้างสมร่วมกันมาหลายภพหลายชาติทีเดียว อย่าง เช่นคู่ของ เจ้าชายสิทธัตะ กับพระนางพิมพา ยโสธรา เป็นต้น ทั้งสองร่วมสร้างสมบุญบารมีร่วมกันมา ตราบจนกระทั่งฝ่ายชายสำเร็จมรรค ผล นิพพาน ตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ที่ ๔ ในภัทรกัปป์นี้ ฝ่ายหญิงเอง พอเจ้าชายหนีไปบวช ก็ไม่ได้คิดจะมีใหม่ หรือหาความสุขสำราญอย่างเคย รู้ว่าเจ้าชายลำบากอย่างไร ก็ทำตนให้ลำบากอย่างนั้น ตราบจนกระทั่งได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ และต่อมา มีโอกาสได้บวชเป็นพระภิกษุณี ได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพเดียวกัน อย่าง นี้เขาเรียกว่า "คู่บุญบารมี" อย่างแท้จริง
มีหลายคู่ทีเดียวที่รักกันปานจะกลืน บางคู่รักกันชอบกันมาตั้งแต่เด็กๆ หรือรักกันมากกว่า ๑๐ ปี แต่ก็ไม่มีวาสนาจะได้อยู่เป็นคู่ครอง ร่วมกัน อาจจะเป็นเพราะว่า ในชาติที่แล้ว เขาสร้างบุญร่วมกันมาน้อยมาก อย่างที่เพลงของชาย เมืองสิงห์ ร้องว่า "ชาติก่อนเราเพียงคู่เคียง เก็บดอกไม้ร่วมต้น แต่ว่าเราสองคน ไม่สนใจ ใสบาตรร่วมขัน " ค่ะ ! การที่มีจิตใจตรงกัน เก็บดอกไม้ต้นเดียวกันไปถวายพระ อานิสงส์ (ผลที่จะได้รับ) อันนี้ ส่งผลให้เพียงรักใคร่ชอบพอ กันเท่านั้น ไม่มากพอที่จะเป็นคู่ครองกันได้ ถ้าจะให้มากพอที่จะเป็นคู่อยู่กินกัน อย่างน้อยจะ ต้อง "ตักบาตร (ใส่บาตร) ร่วมขัน" อย่างน้อย ๑ ครั้ง
และเมื่อเป็นคู่ครองกันแล้ว บางคู่อยู่กันไม่นาน ไม่ทันหม้อข้าวจะดำ (สมัยก่อน เขาใช้หม้อดินหุงซึ่งหม้อใหม่ หุงด้วยฟืนนาน ๆ เข้า ถึงจะดำ) ก็เลิกราหย่าร้างกันแล้ว (บางคู่ก็ตายจากกัน) อันนี้อาจเป็นไปได้ว่า ตักบาตรร่วมกันมาน้อย หรือมิเช่นนั้น อาจจะไม่ได้สร้างอานิสงส์บุญบารมีอื่น อีก เช่น สร้างโบสถร้างวิหาร สร้างศาลาการเปรียญ หรือสาธาณประโยชน์แก่สังคมร่วมกันมา ดังนั้นทำให้ ความรักและการครองคู่ จึงไม่ยั่งยืนมั่นคง พลัดพรากหรือตายจากไปในเวลาอันสั้น บางคู่ไม่ทันจะมีบุตรสืบสกุลด้วยซ้ำไป

มีมากมายหลายคู่ทีเดียว ที่เป็นเพียงแค่ "เนื้อคู่" แต่ ไม่ได้เป็น "คู่ครอง" อันนี้หลายท่านอาจจะสงสัยล่ะซี เอ๊ะ มันยังไงกัน มีข้อแตกต่างด้วยหรือสำหรับคำสองคำนี้ ครับ แตกต่างกันมากทีเดียว คำว่า "เนื้อคู่ " นั้น หมายถึง คนสองคนไม่ว่าจะรักใคร่ชอบพอกันหรือเปล่า หากมีโอกาส มีเพศสัมพันธ์ ร่วมกัน อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เราจะจัดให้เป็นเนื้อคู่กันทันที ความหมายมันก็บอกอยู่แล้ว ว่า เอาเนื้อมาคู่กัน มาเบียดกัน คนที่ไปเที่ยวผู้หญิง และมีเพศสัมพันธ์ จัดให้เขาเจอเนื้อคู่ได้ในกรณีนี้ และผู้หญิงหากินที่รับแขกเป็นร้อยๆ พันๆ คู่ ก็จัดได้ว่ามีเนื้อคู่ เป็นร้อย ๆ พัน ๆ เช่นกัน เรื่องการสมสู่กันจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เป็น สัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสัตว์โลกทั้งหลาย มันเป็น กรรมอย่างหนึ่งไม่มีใครอยากจะรับกรรมอันนี้หรอกค่ะ แต่ มันหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

อย่างชาติ ที่แล้ว คุณเกิดเป็นชายชาตรี เที่ยวสมสู่กับหญิงไม่ เลือกหน้า ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร หญิงดี หญิงเลว คุณ ก็ไม่ละเว้น กรรมอันนี้ นอกจากคุณจะต้องไปเกิด เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสุรกาย เดรัจจฉาน (โดยเฉพาะสุนัขตัวเมียที่สมสู่กับสุนัขตัวผู้ไม่เลือกหน้าในเดือนสิบสอง) แล้ว หากคุณมีบุญมากพอที่จะกลับมาเกิดเป็นคนได้อีก เศษ กรรมของคุณ ก็จะตามคุณมาให้เกิดเป็นผู้หญิงสาธารณ์ หรือ เป็นหญิงที่ถูกผู้ชายลวงไปข่มขืน หรือเป็นหญิงที่อาภัพคู่ หาคู่เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ฯลฯ เชื่อหรือไม่ ลองพิจารณาดูนะคะ

สำหรับคำว่า "คู่ครอง" นั้น ก็คือเนื้อคู่ที่สร้างบุญร่วมกันมามากพอ คือมีวาสนา อยู่ร่วมกันแต่ปางก่อน ที่เรียกว่า "บุพเพสันนิวาส" ไม่ว่าจะแต่งงานอย่างออกหน้าออก ตา หรืออยู่กันแบบลับ ๆ ไม่เปิดเผยหรือที่สมัยก่อน เรียกว่า "วิวาห์เหาะ" ก็ตาม จัดเป็นคู่ครองทั้งนั้น ซึ่งคู่ครองอันนี้ บางรายก็อาจจะมีคู่ครองมากกว่า ๑ คน และบางรายก็จะ หาคู่ครองเป็นตัวเป็นตนไม่ได้เลย กล่าวคือ เป็นแค่ Boy Friend& Girl Friend เท่า นั้น ไม่ได้ครองรัก ครองเรือน ครองทุกข์ ครองสุข ครองทรัพย์สิน ฯลฯ ร่วมกัน

ในการดูดวง แทบจะไม่มีดวงใดเลยที่จะไม่ถามถึงเรื่อง คู่ครองคนรัก การแต่งงาน เพราะเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ถ้าได้คู่ดีก็เป็นศรีแก่ตัว ถ้าได้คู่ชั่ว บางทีชีวิตก็พบกับความอับเฉาไปเลย คนบางคนอาจจะใช้ เวลาอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ถัวเฉลี่ยอย่างมาก ๒๐ ปี แต่ มีโอกาสไปอยู่กับคนอื่นเช่นคู่ครอง มากกว่านั้น บางคนอาจอยู่กันชั่วชีวิต ถ้าได้ร่วมหอลงโรงกันแล้ว ยิ่งมีลูกผูกพันเป็นโซ่ตรวนหากสุขก็แล้วไป หากทุกข์ ก็ต้องหวานอมขมกลืนจนกว่าจะสิ้นเวรต่อกัน ดังนั้น เรื่องคู่จึงเป็นเรื่องสำคัญคนโบราณก่อนที่เขาจะยกลูกสาวให้ใคร นอกจากจะามว่าบวชเรียนมาแล้วหรือยัง เขายังต้องขอวันเดือนปี เวลาเกิดไปให้พระ หรือซินแสผูกดวงดูเสียก่อน ว่าไปกันได้ไหม ? อยู่กันยืดและมีความเจริญรุ่งเรืองไหม ? หากอยู่ กันไม่ยืด ไม่เจริญรุ่งเรือง มีทุกข์มากกว่าสุขล่ะ ก็ ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะยอมยกให้ อยากได้ก็พากันหนีกันเอาเองก็แล้วกัน

การดูดวงในทางโหราศาสตร์นั้น เขาจะยึดเอาตำแหน่งดาวในจักรราศี หรือแผ่นดวงเป็นสำคัญดาวที่นำมาใช้ในการดูเรื่องนี้นั้น มีด้วยกัน ๓ ดวง (ดูภาพประกอบ)

คือ ดาวศุกร์ (๖) ซึ่งเป็นดาวแห่งความรัก กามารมณ์ หากดวงใดไม่ว่าหญิงหรือชาย มีศุกร์ เป็นเกษตรในราศีตุลย์ หรือเป็น มหาอุจจ์ในราศีมีน จะมีโอกาสสมหวังในเรื่องคู่ ไม่ขาดแคลนความรัก ความรักไม่ค่อยมีปัญหาและอุปสรรค ในการครองเรือน มีโอกาสได้คู่ดี มีฐานะ ศักดิ์ตระกูล แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีศุกร์ เป็นประ ในราศีเมษ หรือเป็น นิจ ในราศีกันย์ มักจะได้คู่ที่ไม่ดี ต่ำศักดิ์ ความรักไม่สมหวัง ไม่ราบรื่น มักมีปัญหาอุปสรรคทำให้อยู่ร่วมกันอย่างไร้ความสุข พาลให้เลิกราหย่าร้างกันได้ นอกจากดาวศุกร์แล้ว ในดวงหญิง ต้องพิจารณา ดาวอาทิตย์ (๑) หมายถึง สามี และ ในดวงชายต้องพิจารณา ดาวจันทร์(๒) หมายถึง ภรรยา ประกอบด้วย

หากหญิงใดมีอาทิตย์เป็นเกษตรในราศีสิงห์ หรือเป็นมหาอุจจ์ในราศีเมษ หญิง นั้นมักจะได้คู่ดี มียศศักดิ์อัครฐาน อยู่กินกับ สามีแล้วชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง แต่หากดวงใด มีอาทิตย์เป็นประในราศีกุมภ์ หรือ เป็นนิจในราศีตุล หญิงนั้นมักจะได้คู่ที่ต่ำศักดิ์ มักนำความทุกข์ร้อนมาให้ มักจะได้คู่ที่เป็นหม้าย ผ่านการมีเรือนมาแล้ว

เช่นเดียวกับ ชายใด หากมีดาวจันทร์ เป็นเกษตรในราศีกรกฎ หรือเป็นมหาอุจจ์ในราศีพฤษภ ชายนั้น มักจะได้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ มาเป็นภรรยา ในทางตรงข้าม หากมีดาวจันทร์เป็นประในราศีมังกร หรือเป็น นิจในราศีพิจิก ชายนั้นมักจะได้คู่ที่ไม่สวยสด งดงาม มักจะได้คู่ที่ต่ำศักดิ์ เป็นหม้ายผ่านการมีเรือนมาแล้ว

เรื่องของดวงดาวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากจะพิจารณาเรื่องคู่ให้ลึกซี้งลงไปอีก จะต้อง พิจารณาถึงดาวเจ้าเรือนปัตนิ และดาวลอยในภพปัตนิอีกด้วย ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะดาว ๓ ดวงข้างต้นเท่านั้น การที่เราจะรู้ว่าเรือนใดเป็นเรือนปัตนิ และ มีดาวใดไปอยู่ในเรือนนั้น จะต้องผูกดวงและวางลัคนาเสียก่อน ซึ่งภพปัตนินั้น ก็คือ ภพที่อยู่ตรงกันข้ามกับลัคนา ในดวงของท่าน หากมีสัญลักษณ์ "ลั" ยู่ในราศีใด ก็แสดงว่า ท่านเป็นคนราศีนั้น (ดูภาพประกอบ จะมีชื่อราศีอยู่ในภาพ หากท่านมีดวงที่ผูกแล้ว จะเอามาเทียบเคียงดูก็ได้) และ ภพที่อยู่ตรงข้ามกับสัญลักษณ "ลั" หรือลัคนา ก็คือ ภพปัตนิ


หากในดวงใดมีดาวทั้งสามที่ให้คุณหรือ ให้โทษก็ตาม ในภพปัตนิ เช่น ลัคนา ราศีกันย์ มีศุกร์เป็น อุจจ์ในภพปัตนิ คือราศีมีนที่อยู่ตรงข้ามกัน ดาวศุกร์ดวงนี้ จะให้คุณอีกหนึ่งเท่าตัว และ ชัดเจน มากกว่าศุกร์เป็นอุจจ์ในเรือนอื่น หรือภพอื่น ๆ และเช่นเดียวกันกับ คนที่มีลัคนาในราศี สิงห์ หากมีดาวศุกร์เป็นอุจจ์ในราศีมีน ในกรณีนี้ ดาวศุกร์จะส่งผลเสียในดวงชะตา แม้จะได้คู่ดี ก็ มีโอกาสเลิกราหย่าร้าง หรือตายจาก เพราะศุกร์ในราศีมีนนั้นเป็นจุดมรณะของราศีสิงห์ การนับจุดมรณะหรือภพมรณะนั้น ให้นับจากที่ตั้งลัคนา จากซ้ายไปขวาทวนเข็มนาฬิกา
เช่น ลัคนาราศีเมษเป็นเรือนลัคนา หรือภพลัคนา เป็นภพที่ ๑
ราศีพฤษภเป็นภพ กฎุมพะ การเงิน จัดเป็นภพที่สอง
ราศีเมถุนภพสหัช ชะ หมายถึงเพื่อนฝูง เป็นภพที่สาม
ราศีกรกฎ ภพพันธุ หมายถึง บ้านเรือน รถยนต์ พี่น้อง เป็นภพที่สี่
ราศีสิงห์ ภพปุตตะ เป็นภพที่ ห้า หมายถึง บุตร บริวาร สัตว์เลี้ยง
ราศีกันย์ ภพอริ เป็นภพที่ ๖ หมายถึง ปัญหา อุปสรรค โรคภัย ศัตรู
ราศีตุล ภพปัตนิ เป็นภพที่ ๗ หมายถึงคู่ครอง คนรัก การแต่งงาน
ราศีพิจิก อันเป็นภพที่ ๘ ของลัคนา จะเป็นภพมรณะ หมายถึง ความตาย การพลัดพรากสูญเสีย
อันที่จริงภพ ต่าง ๆ ในดวงชะตา มีด้วยกัน ๑๒ ภพ หรือ ๑๒ เรือน เท่า กับ ๑๒ ราศี โดยนับภพที่หนึ่ง จากจุดลัคนา ได้มาจาก การคำนวณเวลาเกิดหรือเวลาตกฟาก ได้ยก ตัวอย่างการนับเพียง ๘ ภพก่อน เพราะหากจะว่ากันไปจะมีรายละเอียดอีกมาก หากท่านยัง มีพื้นฐานการเรียนรู้ไม่พอ อาจจะทำให้อ่านแบบปวดหัว และเบื่อหน่ายเลยทีเดียว เป็นอันว่า หากดวงใดดาวทั้งสามคืออาทิตย์ จันทร์ และศุกร์ อยู่ในจุดที่ดี คือเป็น เกษตร และมหาอุจจ์ และ จะให้คุณอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ไปอยู่ในภพอริ มรณะ หรือวินาศนะคือภพที่ ๑๒ หากนับต่อไปจนถึงราศี มีน ก็จะเป็นที่ตั้งภพที่ ๑๒ เรียกว่า วินาศนะ ก็จะให้โทษตามความหมายของเรือน
การดูดวง จะว่าเป็นเรื่องยากก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเรื่องง่าย ก็ไม่เชิง ขึ้นอยู่กับความสนใจ และความพยายามของผู้ที่จะเรียนรู้มากกว่า เอาไว้โอกาสดี ๆ จะนำเสนอบทความเชิงวิชาการให้ท่าน ได้เรียนรู้แบบง่าย ๆ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "การพิจารณาดวงชะตาแบบง่ายๆ " เชื่อว่าหากท่านสนใจจริงๆ ไม่ทิ้งความพยายาม อ่าน และพิจารณาพร้อมกับเรียนรู้ไปตามขั้นตอน เชื่อว่า ต่อไปท่านก็จะอ่านดวงของท่านและผู้อื่นได้เอง หรือ สามารถ อ่านบทความที่สอดแทรกความรู้ทางวิชาการโหราศาสตร์ อย่างรู้เรื่อง ไม่ต้องมานั่งปวดหัวหลังอ่านแล้วว่า "มันอะไรกัน หว่า"
"สุขสันต์วันแห่งความรัก" ทุกท่าน สวัสดี

www.lekpluto.org/index01/sub07.htmlและขอบคุณบท เพลงพลังจิต.คอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ