วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ลักษณะของคนขี้อิจฉา (ระวังให้ดี)


ทะเล

ลักษณะ ของคนขี้อิจฉา (ระวังให้ดี)



อิจฉาเธอ มีคนรัก อิจฉาเธอที่สวย อิจฉาที่เธอรวย อิจฉาที่เธอเก่ง และอิจฉาที่ไม่เป็นเรา


เชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครไม่รู้จักคนขี้อิจฉา เพราะคนประเภทนี้ มีอยู่มากมายมหาศาล ในสังคมอลเวงที่พวกเราอาศัยอยู่ที่สำคัญ การอิจฉาเป็นความรู้สึกที่พุ่งปี๊ดขึ้นมาเหนือจิตใจ ยากที่เหตุและผลในสมองของพวกเรา จะห้ามมันไว้ได้ทัน หลายครั้งที่ไดยินว่า ถ้ามนุษย์เราอิจฉากันธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ ถ้าเติมคำว่า “ริษยา” เข้าไปด้วยล่ะก็…ไม่แน่ เพราะริษยาจะนัยยะแห่งความโกรธ เกลียด และเคียดแค้นของมันอยู่ในที่ แต่ ไม่ว่าคุณเคยอิจฉาริษยาหรือไม่ หรือแค่อิจฉารพดับเฉยๆถ้าเป็นน้อยๆไม่เป็นไร แสดงว่ายังเป็นคนปรกติแต่ถ้าไม่เป็นเลยจะดีกว่าและถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

ทว่าเมื่อใด รู้สึกว่า ฉันอิจฉาได้อิจฉาดี อิจฉาใครต่อใครได้ทั้งวัน…รู้ไหมว่า เริ่มเข้าข่ายต้องไปตรวจสุขภาพจิตกันแล้ว


เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะคนขี้อิจฉา ถือเป็นคนที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง คนเหล่านี้ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นบ่อย พอเอาไปเปรียบเทียบแล้วแทนจะสบายใจ เปล่าหรอก กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตา และวาสนาตัวเองมากขึ้น…บุคคลแบบนี้ช่างน่าสงสารพฤติกรรมที่แสดงออก ก็เลยเป็นไปในทิศทางลบและชิงชังผู้อื่น เช่น ชอบติฉินนินทา,ติเติยนคนอื่นซ้ำซาก,พูดถึงแต่คนอื่นในทางเลวร้าย ไม่มองความจริงของชีวิตว่า คนเรามีทั้งดีและเสีย มีทั้งนำเน่าและน้ำดี มีทั้งบุญและกรรมทำให้กลายเป็นคนไม่มีความสุขกับชีวิต ว่าแล้ว ใครที่กำลังเป็นหรือเป็นไปแล้ว ขอให้หักหามความอิจฉาเอาไว้ อย่าให้มันเปิดเผยว่า คุณเป็นคนขี้อิจฉาให้คนอื่นเห็น เพราะจะทำลายตัวคุณเองและทำลายผู้อื่นด้วย


ส่วนถ้าเรา ได้ไปอยู่ใกล้ คนขี้อิจฉาขึ้นมาด้วยความจำยอม หรืออะไรก็แล้วแต่รู้ไหมว่า คุณสามารถช่วยคนเหล่านี้ได้ ด้วยการ….


บอก ให้เขามองตังเองในแง่บวกมากขึ้น ต้องฝึกมองให้ออกว่า ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ที่แต่ละคนได้รับนั้น ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของผู้นั้นทั้งสิ้น เขา ได้ดีก็เพราะเขาเคยทำดี เขาได้ไม่ดีก็เพราะเขาทำไม่ดีเช่นกัน แต่ละคนก็ลงทุนแรงมาทั้งนั้น เราเองก็เช่นกัน ถ้าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว มันเป็นกฎแห่งกรรมธรรมดา ไม่มีใครได้ดีหรือชั่วเกินกว่าที่ตัวเองได้ทำไว้หรอก ทุกคนล้วน “สมควร” ได้รับในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้ทั้งนั้น


มอง หาข้อดี-ข้อเด่นในตังเองให้พบ การที่เราเป็นคนขี้อิจฉา แสดงว่าคุณเป็นคนชอบเอวตัวของคุณองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือเป็นคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่ ต้องค้นหาสาเหตุที่ตัวคุณ คุณมีปมอะไรอยู่หรือ ซึ่งจริงๆแล้วตองแก้ที่จิตใจของคุณเอง ถ้าคุณค้นพบข้อดีในตัวเองและพัฒนาข้อดีในตัวคุณนั้นให้ดียิ่งขึ้นไป โดยเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การอิจฉาจะไม่เกิดขึ้นได้เลย นั่นคือ การยอมรับในสิ่งที่คุณเป็น ฟังดูง่ายแต่อาจทำยาก ต้องค่อยๆฝึก อย่างเช่น เราคนอื่นรวย แล้วเราไปอิจฉาเขา เราต้องค้นลงไปว่าที่เขารวย เขา รวยเพราะอะไร เขาขยันทำมาหากิน หรือโกงกินบ้านกินเมือง คุณไม่ควรจะอิจฉาคนแบบนั้นเลย คือนำความอิจฉานั้นมาพัฒนาตัวเราเป็นสิ่งที่ดี เห็นคนอื่นเขาสวยกว่าเรา รูปร่างสูงกว่าดีกว่าเรา เพราะอะไรที่เขาเป็นดารา เพราะเขากินแล้วออกกำลังกาย เขายอมอดเพื่อให้หุ่นสวย เราก็ทำแบบเขาบ้าง


แนะให้มีความเมตตากรุณาต่อคนรอบข้างมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ที่เกิดโรคอิจฉาริษยานั้น มักอยู่บนสมมติฐาน 2 ประการ คือ ประการแรกเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำ ใจ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น เช่น จนกว่า สวยน้อยกว่า เก่งน้อยกว่า ประการที่สอง เกิดจากการคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่าจะต้องได้มากกว่าผู้อื่น เช่นคิดว่า ตัวเองทำงานเก่ง ฉลาด น่าจะต้องได้รับตำแหน่งที่คาดหวัง แต่กลับไมได้ ลองคิดทบทวนดูว่าการที่คนอื่นได้ตำแหน่งที่ดีกว่าได้เงินเดือนเยอะกว่า เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าประจบเจ้านาย แสร้งแกล้งทำหรือว่าความจริงแล้วทำงานดี ขยัน อดทน เจ้านายรัก ถ้าเป็นแบบนั้นมองกลับมารที่ตัวเราเองเลยว่าเราควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง ความ ขยันและความอดทนจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เองได้ดีเพราะตัวเราเองหรือว่า อยากได้ดีเพราะการเสแสร้ง สิ่งไหนที่ยั่งยืนและยาวนานกว่ากัน ความดีที่เราทำใครอาจจะไม่รู้แต่ตัวเรารู้ ให้ทำดีต่อไปเถอะแล้วจะเกิดผลดีตอบ ขยัน และอดทนทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เชื่อได้แน่ๆว่าถ้าเราสามารถทำได้ดังที่กล่าวมาการใช้ชีวิตประจำวันก็จะมี ความสุข ความสมหวัง ตลอดไป


ดัง นั้น ตำรับยาที่จะแก้โรคนี้ได้ ตองใช้สูตรที่ชื่อว่า “ความเมตตา” คือ รู้จักรักตัวเองและผู้อื่นให้เป็นมีความปราถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ที่ทำงานหรือแม้แต่กับศัตรู

วิธีใช้เมื่อตื่นนอนทุกเช้าให้ริน “ความเมตตา” ออกมาจากใจ สัก 2 ช้อนโต๊ะแล้วทานก่อนอาหารเช้า จะให้เรามองโลกด้วยความสดชื่น ไม่ไปคอยจับผิดผู้อื่นให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน ทำ อะไรกับใคร ก็จะทำด้วยความรัก เพราะความเมตตาจะเป็นเหมือนน้ำที่ช่วยดับธาตุไฟ อันร้อนรุ่มกลุ้มใจให้ลดน้อยและหากจะให้หายเร็วยิ่งขึ้น อาจจะเพิ่มกลางวัน เย็น และก่อนนอน อีกครั้งละ 1 ช้อนชา พร้อมฝึกลมหายใจ ด้วยการหายใจเข้าก็ “เฮ้อเธอ” หายใจออกก็ “เฮ้อเธอ” คือให้เห็นแก่ตัวให้น้อยลง และเห็นแก่คนอื่นให้มากขึ้น ไม่นานโรคอิจฉาริษยาก็จะลดน้อยถอยลงไป หากทานเป็นประจำ สม่ำเสมอ ก็จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์ให้คนอื่นรัก และยอมรับเรามากขึ้น ทำให้เรารู้สึกมีค่า ไม่ด้อยไปกว่าใคร และนำมาซึ่งสิ่งที่เราปราถนาได้ในที่สุด




ขอบคุณบทความจาก

ดร.ปราณี สุวิทย์ศักดานนท์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อารายเหรอ